สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (7 สิงหาคม 2568)--------สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนกรกฎาคม 2568
การบรรลุข้อตกลงการค้าของอินโดนีเซียและเวียดนามกับสหรัฐฯ ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2568 โดยสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) อัตราใหม่จากทั้งสองประเทศที่ 19% และ 20% ตามลำดับ ได้สร้างบรรทัดฐานสำคัญในระดับภูมิภาค และส่งผลให้นักวิเคราะห์ประเมินว่ารัฐบาลไทยมีแนวโน้มที่จะบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ได้ภายใต้เงื่อนไขที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในระดับสูง ประกอบกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยในปี 2568 ขยายตัว 2.2% จากประมาณการเดิมที่ 2.1% เป็นปัจจัยหลักหนุนให้ SET Index เดือนกรกฎาคม ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.0% จากเดือนก่อนหน้า
ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การอ่อนค่าของดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) ในเดือนกรกฎาคม 2568 เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ดึงเงินลงทุนกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) โดยเฉพาะเอเชีย ซึ่งเริ่มได้รับการจัดสรรพอร์ตใหม่จากกองทุนต่างชาติ ในส่วนของตลาดหุ้นไทย Valuation น่าสนใจ และแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาทมักจะช่วยให้มีเงินทุนไหลเข้า และ SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยผู้ลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 14 วัน จาก 21 วันทำการในเดือนกรกฎาคม 2568 ส่งผลให้มียอดซื้อสุทธิ 16,121 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกลับมาซื้อสุทธิเดือนแรกตั้งแต่เดือนกันยายน 2567
การปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยของ สศค. อยู่บนสมมติฐานที่ว่าเศรษฐกิจยังได้แรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาครัฐ และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะอยู่ที่ 34.5 ล้านคน ขณะที่การส่งออกสินค้าคาดขยายตัว 5.5% ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดไว้ที่ 2.3% สะท้อนผลของการเร่งส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกเพื่อบริหารความเสี่ยงจากสงครามการค้า อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ Federal Open Market Committee (FOMC) ของสหรัฐฯ มีมติอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25% - 4.50% เป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกัน โดยถ้อยแถลงของประธาน ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ยังสะท้อนความไม่แน่นอนสูงเกี่ยวกับนโยบายทางภาษีที่อาจจะกระทบทั้งอัตราเงินเฟ้อและตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ส่งผลให้การดำเนินนโยบายทางการเงินจะเป็นไปอย่างระมัดระวัง และยังมีปัจจัยเสี่ยงจากความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา
ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนกรกฎาคม 2568
• ณ 31 กรกฎาคม 2568 SET Index ปิดที่ 1,242.35 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 14.0% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึง 31 กรกฎาคม 2568 SET Index ปรับลดลง 11.3%
• เดือนกรกฎาคม 2568 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม
• มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 42,624 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.1% จากเดือนกรกฎาคม 2567 อย่างไรก็ดี ในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมอยู่ที่ 41,971 ล้านบาท ลดลง 5.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 50.68% ของมูลค่าการซื้อขายรวมในเดือนกรกฎาคม อีกทั้งยังซื้อสุทธิ 16,121 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกลับมาซื้อสุทธิเดือนแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2567
• Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 13.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.0 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 14.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.8 เท่า
• อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 3.95% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.17%
ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนกรกฎาคม 2568
• ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 355,290 สัญญา ลดลง 19.8% จากเดือนก่อนหน้า ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures ทำให้ในปี 2568 ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 425,984 สัญญา ลดลง 11.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากการลดลงของ Single Stock Futures และ Gold Online Futures