สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (7 สิงหาคม 2568)-------เศรษฐกิจอินโดนีเซียไตรมาส 2/2025 ขยายตัวสูงสุดในรอบ 2 ปีที่ 5.12%YoY เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ได้แรงหนุนจากฐานที่ต่ำในปีก่อนและการฟื้นตัวทั้งในฝั่งการใช้จ่ายและการผลิต สะท้อนถึงแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่กระจายตัวมากขึ้น แม้ยังมีแรงกดดันจากภายนอกและความเสี่ยงในช่วงครึ่งหลังของปี มีรายละเอียดดังนี้
• การขยายตัวในฝั่งของการใช้จ่าย การลงทุนภาคเอกชนพุ่งขึ้น 6.99% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี อานิสงส์จากเม็ดเงินลงทุนหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่และฐานต่ำในปี 2024 ช่วงรอการเลือกตั้ง การบริโภคภาคครัวเรือนขยายตัว 4.97% ได้แรงหนุนจากการจับจ่ายด้านอาหารและการท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดทางศาสนาและปิดภาคเรียน ขณะที่การส่งออกสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นถึง 10.67% จากการเร่งส่งมอบสินค้าก่อนมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มน้ำมันปาล์ม โลหะ อิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐหดตัวเล็กน้อยที่ -0.33% (รูปที่ 1)
• การเติบโตในฝั่งภาคการผลิต (รูปที่ 2) นำโดยภาคเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ขยายตัว 7.9% ตามมาด้วยภาคอุตสาหกรรมการผลิตเติบโตเร่งขึ้นมาที่ 5.7% (อาหารและเครื่องดื่ม โลหะพื้นฐาน และเคมีภัณฑ์/ยา) ส่วนการค้าส่งและค้าปลีกเพิ่มขึ้น 5.3% ภาคก่อสร้างเติบโต 4.9% และภาคเกษตรกรรมขยายตัว 1.6% รวมแล้วทั้ง 5 สาขานี้มีสัดส่วนกว่า 61% ของ GDP และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้เศรษฐกิจเติบโตเกินคาดในไตรมาสนี้
ราคานิกเกิลปรับตัวลดลง อีกปัจจัยเสี่ยงสำคัญกดดันเศรษฐกิจตลอดปี 2025
• ราคานิกเกิลในตลาดโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากปีก่อน จากแรงกดดันของทั้งอุปทานล้นตลาดและอุปสงค์ที่ลดลง โดยราคานิกเกิลลดลงต่อเนื่องแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี ที่ 14,094 ดอลลาร์ฯ/ตัน ในวันที่ 9 เม.ย. 2025 และยังทรงตัวในระดับต่ำที่ 15,046 ดอลลาร์ฯ/ตัน ณ วันที่ 6 ส.ค. 2025 (รูปที่ 3) สาเหตุสำคัญมาจากอุปทานล้นตลาดจากการขยายกำลังการผลิตของอินโดนีเซียโดยเฉพาะการเพิ่มปริมาณการส่งออกแร่และผลิตภัณฑ์ขั้นกลาง เช่น Ferronickel และ Mixed Hydroxide Precipitate (MHP) สำหรับอุตสาหกรรมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ขณะที่อุปสงค์ลดลงจากความต้องการแบตเตอรี่ EV ที่ใช้นิกเกิลเป็นส่วนประกอบหลักก็ชะลอตัว เนื่องจากผู้ผลิตหันไปใช้เทคโนโลยีแบตเตอรี่ชนิดอื่น เช่น แบตเตอรี่ลิเธียม-เหล็ก-ฟอสเฟต (LFP) ซึ่งใช้นิกเกิลน้อยลง รวมถึงเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวยิ่งกดดันความต้องการใช้นิกเกิล
• ปัจจุบันทางการปรับลดกำลังการผลิตเพื่อแก้ปัญหาอุปทานส่วนเกินและพยุงราคานิกเกิลให้ทรงตัวบรรเทากระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศ โดยกำหนดโควตาการทำเหมืองแร่ไว้ที่ 200 ล้านตัน ในปี 2025 ลดลงจากปีก่อนที่เคยเป็น 272 ล้านตัน ทั้งนี้ อินโดนีเซียมีอิทธิพลต่อราคานิกเกิลในตลาดโลก เนื่องจากครองสัดส่วนสำรองนิกเกิล 42% ของอุปทานโลก
• นิกเกิลเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของอินโดนีเซียในหลายมิติ
- ในช่วงครึ่งหลังของปี การส่งออกและดุลการค้าของอินโดนีเซียยังคงเผชิญแรงกดดันด้านราคาต่อเนื่อง (รูปที่ 3) แม้ไตรมาส 2 การส่งออกในภาพรวมจะได้อานิสงส์จากการเร่งส่งมอบสินค้าก่อนที่มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ แต่ราคานิกเกิลซึ่งคาดว่าจะทรงตัวในระดับต่ำตลอดทั้งปี ยังคงฉุดรายได้จากการส่งออก ซ้ำเติมด้วยภาระการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นตามความตกลงลดภาษี Reciprocal ซึ่งยิ่งกระทบดุลการค้าให้ถดถอยมากขึ้น ทั้งนี้ การผลิตและส่งออกนิกเกิลครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงสินค้าขั้นปลายน้ำ มีมูลค่ารวมราว 12.4% ของการส่งออกสินค้าทั้งหมดในปี 2024 หรือคิดเป็น 2.35% ของ GDP
- รายได้ภาครัฐจากการเก็บภาษีเหมืองแร่มีแนวโน้มลดลง สร้างความท้าทายต่อแผนลงทุนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป แม้ว่ารัฐบาลได้ปรับโครงสร้าง Royalty จากอัตราคงที่ 10% เป็นแบบขั้นบันได 14–19% ตั้งแต่เดือน เม.ย. เพื่อเพิ่มรายได้และสนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเนื่องของนิกเกิลที่มูลค่าเพิ่มสูง แต่รายได้จากภาษี Royalty ลดลงตามทิศทางราคานิกเกิล จากสัดส่วนรายได้นี้เคยพุ่งขึ้นเป็น 4.64% ของรายได้รวมในปี 2023 ตามราคานิกเกิลที่อยู่ในระดับสูง แต่ในปี 2024 ได้ปรับลดลงเหลือ 3.59% ตามการลดลงของราคานิกเกิล ทั้งนี้ ในภาวะราคานิกเกิลตกต่ำได้เพิ่มแรงกดดันต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายเล็กที่มีข้อจำกัดในการแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น
- การลงทุนในอุตสาหกรรมต่อเนื่องของการทำเหมืองแร่นิกเกิล (Downstreaming policy) เสี่ยงชะลอตัว จากราคานิกเกิลที่มีทิศทางลดลงต่อเนื่องอาจบั่นทอนแรงจูงใจเม็ดเงินลงทุนใหม่ ยิ่งทำให้รายได้ภาครัฐจากโครงการเหล่านี้ลดลงในระยะต่อไป ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/2025 การลงทุนในโครงการ Downstream เพิ่มขึ้นถึง 79.82%YoY เป็น 136.3 ล้านล้านรูเปียห์ (คิดเป็น 29.3% ของการลงทุนรวม) ได้แก่ นิกเกิล (47.82 ล้านล้านรูเปียห์) ทองแดง (17.7 ล้านล้านรูเปียห์) บอกไซต์ (12.84 ล้านล้านรูเปียห์) เหล็กและเหล็กกล้า (12.01 ล้านล้านรูเปียห์) และดีบุก (1.53 ล้านล้านรูเปียห์)
- การจ้างงานในภาคถลุงแร่ปรับตัวลดลง โดยการจ้างงานในภาคการถลุงแร่ลดลงจาก 1.73 ล้านคน ณ ส.ค. 2024 เหลือ 1.64 ล้านคน ณ ก.พ. 2025 (จากกำลังแรงงานรวม 145.7 ล้านคน) โดยพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือจังหวัดในเกาะสุลาเวสีและโมลุกุ ซึ่งพึ่งพาโรงงานถลุงแร่และนิคมอุตสาหกรรมเป็นรายได้หลักของครัวเรือน การหยุดผลิตส่งผลต่อธุรกิจบริการและห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มความเสี่ยงด้านการว่างงานและกดดันเศรษฐกิจภูมิภาค
ภายใต้แรงกดดันเหล่านี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คงประมาณการเศรษฐกิจอินโดนีเซียทั้งปี 2025 ขยายตัว 4.8% แม้ว่าเศรษฐกิจอินโดนีเซียครึ่งปีแรกยังคงรักษาการเติบโตได้ที่ 5% แต่แนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปีมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากผลกระทบของภาษีสหรัฐฯ และการชะลอตัวของประเทศคู่ค้า รวมถึงการปรับตัวลงของราคานิกเกิล