ภาพตลาดและแนวโน้ม
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยืนอยู่ท่ามกลางความเปราะบางจากมูลค่าที่ตึงตัวในระยะสั้น กับโอกาสในระยะกลางที่เริ่มเด่นชัดมากขึ้น โดยเฉพาะจากแรงหนุนด้านเทคโนโลยีและทิศทางนโยบายการคลังภายใต้รัฐบาลทรัมป์ กระแสความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังไม่ลดลง แม้ Forward P/E ของ S&P 500 สำหรับปี 2025 จะแตะระดับ +1.3 SD เหนือค่าเฉลี่ย 10 ปี และเครื่องมือวัดโมเมนตัมหลายตัวส่งสัญญาณ overbought อย่างต่อเนื่องแล้วก็ตาม
นับตั้งแต่ช่วงพฤษภาคม ตลาดได้ฟื้นตัวจากผลกระทบของนโยบายภาษีศุลกากรในช่วงต้นปี โดยสะท้อนถึงการเปลี่ยนความคิดของนักลงทุน จากมุมมองที่เคยเห็นภาษีเป็นอุปสรรค มาเป็นเพียงแทคติกในการเจรจาต่อรองของประธานาธิบดีทรัมป์ การเปลี่ยนท่าทีนี้มีผลต่อการลดลงของความผันผวนของตลาด แม้ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวอย่างทั่วถึงก็ตาม
อย่างไรก็ดี การประเมินแนวโน้มในไตรมาส 3 ต้องพิจารณาถึงผลกระทบระยะสั้นที่ซับซ้อนมากขึ้น ดังเช่นดัชนี PPI เดือนมิถุนายน แม้จะชะลอตัวลงต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ทั้งในระดับ Headline และ Core โดยเฉพาะในภาคบริการที่ได้รับแรงกดดันจากต้นทุนโลจิสติกส์ที่ลดลง และอุปสงค์ในหมวดการท่องเที่ยวที่อ่อนตัวลง แต่ดัชนีราคาผู้ผลิตฝั่งสินค้า (Goods PPI) กลับเร่งขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอุปกรณ์สื่อสารและอาหารแปรรูป ซึ่งเป็นการสะท้อนแรงกดดันด้านต้นทุนจาก supply chain และภาษีนำเข้าที่เริ่มซึมซับเข้าสู่ระบบ
การปรับตัวลงของราคาภาคบริการสะท้อนถึงความเปราะบางของอุปสงค์ในประเทศ ซึ่งมักบ่งชี้ถึงความเสี่ยงด้านลบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะสั้น
ขณะเดียวกัน หนึ่งในความเสี่ยงที่ตลาดอาจมองข้าม คือแรงกดดันต่ออัตรากำไรในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะภาคการผลิตที่กำลังเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ยังไม่สามารถส่งผ่านภาระดังกล่าวไปยังผู้บริโภคได้เต็มที่ ภายใต้สภาวะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังถูกจำกัด ความไม่สมดุลนี้อาจกลายเป็นแรงฉุดต่อผลประกอบการที่อาจต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาดในไตรมาส 2-3
ปรากฏการณ์ในครั้งนี้แตกต่างจากภาวะเงินเฟ้อในอดีตที่ขับเคลื่อนโดยอุปสงค์ส่วนเกิน ปัจจุบันตลาดกำลังเผชิญกับเงินเฟ้อจากต้นทุน (cost-push inflation) ในบริบทที่การเติบโตของยอดขายไม่เพียงพอที่จะชดเชยการถูกบีบตัวของอัตรากำไร ส่งผลให้แรงกดดันดังกล่าวเริ่มส่งผ่านไปสู่การหดตัวของ PE ในภาคส่วนที่เปราะบางมากที่สุด ซึ่งกลายเป็นจุดเปราะบางของตลาดท่ามกลาง valuation ที่ตึงตัวอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยเสี่ยงข้างต้นในระยะสั้น เรายังคงรักษามุมมองเชิงบวกในระยะกลางต่อกลุ่มที่ได้รับแรงสนับสนุนจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งยังคงเป็นแกนหลักของธีมปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
คำถามที่ตามมาคือ เงินทุนที่ไหลเข้าสู่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องนั้น กำลังผลักดันมูลค่าหุ้นเข้าสู่ภาวะฟองสบู่แล้วหรือไม่
การเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้น ปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมของหุ้นกลุ่ม Information Technology และ Communication Services ในสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของมูลค่าตลาดทั้งหมดของตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งใกล้เคียงกับระดับสูงสุดของกลุ่มพลังงานและวัสดุ (Energy & Materials) ในช่วงทศวรรษ 1950 แต่ตัวเลขนี้ยังห่างจากระดับสูงสุดเกือบ 70% ของกลุ่มขนส่ง (Transport) ในช่วงยุคเฟื่องฟูของศตวรรษที่ 19 ซึ่งขับเคลื่อนโดยการขยายตัวของระบบรถไฟ ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ทรงพลังที่สุดของการกระจุกตัวของมูลค่าตลาดในช่วงเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี
หากพิจารณาในมิติดังกล่าว การกระจุกตัวในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในปัจจุบัน อาจไม่ใช่สัญญาณของความร้อนแรงที่เกินพอดี แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้าง จาก value chain แบบยุคอุตสาหกรรม ไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยพลังการประมวลผล ระบบอัตโนมัติ การสื่อสาร การค้าขายออนไลน์ และโครงสร้างพื้นฐานของ AI
ในบริบทนี้ หุ้นเทคโนโลยีจึงอาจรักษาความเป็นผู้นำได้อีกในช่วงข้างหน้า คล้ายกับที่หุ้นกลุ่มรถไฟเคยทำได้ในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ
จนถึงตอนนี้ เรายังไม่พบสัญญาณของการหลุดกรอบปัจจัยพื้นฐาน ตราบใดที่รายได้และผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยียังขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ความเป็นไปได้ที่กลุ่มนี้จะคงสถานะผู้นำเชิงโครงสร้าง ยังคงมีน้ำหนักมากกว่าความเสี่ยงของภาวะฟองสบู่ในระยะสั้น เพียงแต่ระดับราคาที่อยู่ในภาวะ overbought สะท้อนว่าตลาดอาจเร่งตัวมากเกินไปในช่วงนี้ การเข้าสะสมจึงอาจต้องอาศัยความอดทน รอจังหวะ pullback เพื่อบริหารต้นทุนได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากกลุ่มเทคโนโลยีแล้ว ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่ม Aerospace & Defense จะได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐและสัญญาโครงสร้างระยะยาว ตามแผนงบประมาณ OBBBA ของรัฐบาลทรัมป์ ส่วนกลุ่มการเงิน โดยเฉพาะ regional banks จะได้รับแรงหนุนจากการที่ NIM มีแนวโน้มฟื้นตัว และมี credit quality ที่ดีขึ้นในปีหน้า บนสภาพแวดล้อมของ post-rate hike cycle
ในทางกลับกัน กลุ่ม Pharmaceuticals, Healthcare และ Utilities จะเผชิญกับแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาล โดยราคายาจะถูกกดดันให้ปรับลงจาก executive order ของทรัมป์ ขณะที่กลุ่มที่ให้บริการด้านสุขภาพจะได้รับผลกระทบจากการตัดงบ Medicare ส่วนกลุ่ม Utilities ต้องเผชิญต้นทุนผันผวนและการลดการสนับสนุนจากภาครัฐเช่นกัน ดังนั้นหุ้นกลุ่มเหล่านี้จึงควรหลีกเลี่ยง
กล่าวโดยสรุป เราแนะนำให้นักลงทุนใช้จังหวะการปรับฐานที่อาจเกิดขึ้นในช่วง 1–2 เดือนข้างหน้าเป็นโอกาสในการสะสมหุ้นคุณภาพ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งได้พิสูจน์แล้วถึงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่แข็งแกร่งกว่าตลาด แม้ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ท้าทายหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา
เมื่อมองเลยครึ่งหลังของปี 2025 ไปสู่ปี 2026 เราคาดว่าปัจจัยสนับสนุนเชิงพื้นฐานจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ทั้งจากนโยบายลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ความคืบหน้าในการเจรจาการค้า และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยให้การเติบโตของกำไรขยายออกไปสู่ภาคส่วนต่างๆ มากขึ้น ไม่จำกัดอยู่เพียงกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ (mega caps) อีกต่อไป ความกระจายตัวของ earnings นี้จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่สนับสนุนให้ valuation ขยายตัวอย่างมั่นคงขึ้นในระยะต่อไป
สรุปภาพตลาดวานนี้
หุ้นไทยไปต่อ หนุนจากแรงซื้อกองทุนฯ และต่างชาติ โดยเห็น Flow การซื้อกระจายตัวมากขึ้น เด่นสุดกลุ่ม รพ. BDMS BH BCH PR9 การบินไทย THAI ธนาคาร BBL KTB เป็นต้น ส่วนหุ้นลบ เช่น OR AOT PTTEP HMPRO (ส่วนใหญ่ลงไม่เยอะ)
แนวโน้มตลาดวันนี้
พักเพื่อขึ้นต่อ
วันนี้คาดตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้ม Sideways up ในกรอบ 1,230-1,255 จุด โดยการพักฐานรอบนี้ยังมองเป็นการพักเพื่อขึ้นต่อ แต่ดูเหมือนการพักจะจบเร็วกว่าที่คิดเพราะได้ปัจจัยหนุนจากต่างประเทศ คือ โพลพลิกปรับมุมมองเฟดลดดอกเบี้ยเร็ว-แรง 3 ครั้งติดในการประชุม ก.ย.-ธ.ค. กอปรกับ ความคาดหวัง Fund flow หลังเห็นสัญญาณ ดอลล์สหรัฐฯอ่อนค่า, ลุ้น MSCI กลับมาเพิ่มหุ้นไทย
อย่างไรก็ดีเรายังคงให้น้ำหนักหุ้นรายตัวที่จะทยอยประกาศงบ 2Q25 ซึ่งหากยังรักษาโมเมนตั้ม งบออกมาดีกว่าคาดแบบนี้ต่อไปเรื่อย คาดหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นต่อและการพักฐานอาจกินเวลาสั้นกว่าที่คาด
และเราคงคาดว่า ฤดูกาลประกาศงบการเงิน แถมประกาศจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาด จะช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลงของตลาดหุ้นไทย และจะช่วยดันราคาหุ้นรายตัวในรอบถัดไป
ด้วยเราพบว่าการประกาศจ่ายเงินปันผล บจ.รอบนี้ มีแนวโน้มที่จ่ายเพิ่มขึ้นสูงกว่าที่เราและตลาดคาด ซึ่งการทยอยประกาศงบตลอดทั้งสัปดาห์นี้ และ เดือน ส.ค. คาดว่าจะเห็นการประกาศจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้น ตามกำไรที่ดีกว่าคาด...
กลยุทธ์แนะนำถือหุ้นตามพอร์ตที่เราแนะนำไว้ก่อน โดยเฉพาะหุ้นปันผล และหาจังหวะเพิ่มการซื้อเก็งกำไร หุ้นที่เห็นแนวโน้มของการปรับประมาณการกำไร และ การปรับเพิ่มคำแนะนำ หุ้นรายตัวจากนี้ไป
กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ ถือหุ้นปันผล เริ่มสะสมหุ้นต้นรอบ ดักงบการเงินไตรมาส 2 และปันผลระหว่างกาล
วิเคราะห์ทางเทคนิค
เริ่มต้นครึ่งหลังของปี 2025 ดัชนีหุ้นไทย มาแรงแซงโค้ง ล่าสุดกำลังจะผ่าน previous high & EMA 200 บริเวณ 1,240 จุดขึ้นไปให้ได้ หนุนจาก fund flow ไหลเข้าหุ้นใหญ่ดัน SET ขึ้น จับตาวอลุ่มเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น กลับมามีวอลุ่ม > 5 หมื่นล้านบาทต่อวันในช่วง 5 วันทำการ ขึ้นแรงแบบนี้อาจต้องยอมแลกกับภาวะความผันผวนที่เกิดขึ้นหรือภาวะ Overbought ขณะที่เป้าหมายดัชนีรอบนี้ขอทายไว้ที่ 1,270-1,280 จุด ซึ่งเคยเป็นช่วงที่ดัชนีมีปริมาณหุ้นสะสมมากในอดีต (consolidate zone) สำหรับจุดเปิดความเสี่ยง แนะประเมินแนวรับแรกบริเวณ 1,220 (EMA 10 วัน) ถัดไป 1180 จุดซึ่งถือว่าสำคัญมากๆๆๆ เนื่องจากเป็นจุดที่เส้นค่าเฉลี่ยกองมัดกันรวมตัวอยู่หลายเส้นนั้นเอง มุมมองสัปดาห์นี้ที่เคยให้น้ำหนักดัชนีมีโอกาสปรับฐานย่อยก่อนอาจจะผิดคาด ถ้าวันนี้ดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง….คลื่น 5 ย่อย ยังไม่จบ!
What to watch
ศาลรัฐธรรมนูญ ขยายเวลา(เป็นครั้งสุดท้าย) ให้นายกแพรทองธาร ชี้แจงปมคลิปเสียง วันจันทร์ที่ 4 ส.ค.นี้ ซึ่งต้องติดตามคำสั่งวันวินิจฉัยคดี หลังจาก วันที่ 4 ส.ค. อีกครั้ง รวมถึง วันที่ 9 ก.ย. เวลา 10:00 น. ศาลฏีกาได้นัดฟังคำสั่ง คดี “ทักษิณรักษาตัวชั้น 14” แนะติดตามไทม์ไลน์คดีการเมืองในประเทศ เพราะ การสะดุดของรัฐบาลอาจมีผลผูกพันไปถึงยังงบประมาณที่กำลังจะผ่านสภาฯ-อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณปี 69
MSCI review คาดประกาศรายชื่อหุ้นเข้าออก ช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือน ส.ค.
นักลงทุนทั่วโลกจับตาการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในเดือนนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลในปีนี้จะมีขึ้นในวันที่ 21-23 ส.ค. ในหัวข้อ "Labor Markets in Transition: Demographics, Productivity, and Macroeconomic Policy" หรือ "ตลาดแรงงานในช่วงเปลี่ยนผ่าน: โครงสร้างประชากร, ประสิทธิภาพการผลิต และนโยบายเศรษฐกิจมหภาค" โดยมีธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาแคนซัส ซิตี้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 85.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย. หลังจากที่ให้น้ำหนักเพียง 63.1% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และเดือน ต.ค. กับเดือน ธ.ค.จะปรับลดดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% เหลือ 3.5-3.75%
หุ้นแนะนำวันนี้
KTB Sentiment บวกรับหุ้น THAI กลับเข้าเทรด ด้านปัจจัยพื้นฐาน THAI ที่กลับมามีกำไรคาดเป็นบวกต่อเจ้าหนี้อย่าง KTB
แนวรับ 22 ต้าน 23 Stop loss 21.5
รายงานพื้นฐานวันนี้
Transportation Sector
คาด 2Q25 อ่อนลงทั้งกลุ่ม แต่มีหวังใน 3Q25
คาดกำไรหลัก 2Q25 กลุ่มขนส่งฯ (BTS BEM AAV) ลดลงทั้ง YoY และ QoQ กดดันโดย AAV
AAV คาดพลิกกลับมาขาดทุนหลัก 530 ล้านบาท ตามรายได้ที่ลดลงและค่าใช้จ่ายดำเนินการ (OPEX) ที่สูงขึ้น ขณะที่ผู้โดยสารต่างชาติเข้าไทยลดลงเหลือ 7.14 ล้านคน (-12% YoY, -25% QoQ) กดดันการเดินทางในประเทศ และส่งผลลบต่อผู้ให้บริการขนส่งทั้งหมด
BEM คาดกำไรหลัก 984 ล้านบาท (-20% YoY, +13% QoQ) แม้ปริมาณจราจรและ MRT ลดลง แต่ได้แรงหนุนจากเงินปันผล
BTS คาดมีกำไรหลัก (งวด 1Q25 หรือ เม.ย.-มิ.ย.) ที่ 214 ล้านบาท (Turnaround YoY, +5% QoQ) จากขาดทุนของสายสีเหลือง-ชมพูที่ลดลง และรายได้จากบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น
แนวโน้ม 3Q25 กลุ่มขนส่งคาดกำไรฟื้นตัวได้ทั้ง YoY และ QoQ จาก High season ของการเดินทาง และต้นทุนน้ำมัน (AAV) ที่ลดลง
Fundamental view: เรายังชอบ BEM เป็น Top Pick ของกลุ่ม จากโครงสร้างรายได้ที่มั่นคง ปันผลสม่ำเสมอ และมีโอกาสฟื้นตัวใน 2H25 ขณะที่ AAV และ BTS ยังต้องใช้เวลาในการพลิกฟื้น
BAM
บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์
ได้เวลาล็อคกำไร
หลังจากที่เราปรับเพิ่มคำแนะนำ BAM เป็น ซื้อ เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ราคาหุ้นก็ได้ปรับเพิ่มขึ้นถึง 35% ซึ่งเรามองว่าได้สะท้อนปัจจัยบวกสำหรับแนวโน้มกำไร 2Q25 ที่จะเติบโตโดดเด่นไปแล้ว และคาดว่ากำไรจะปรับลดลงแรง QoQ ในไตรมาส 3 ทำให้เราปรับลดคำแนะนำของ BAM จาก ซื้อ เป็น ขาย (ล็อคกำไร)
เราคาดกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 1.2 พันล้านบาท (สูงกว่าที่เราคาดไว้เดิม 24%) เพิ่มขึ้นถึง 174% YoY และ 476% QoQ หนุนจากกำไรจากการขาย NPL และ NPA ชิ้นใหญ่ที่จะบันทึกเข้ามาในไตรมาสนี้
แนวโน้มกำไรสุทธิ 3Q25 จะเพิ่มขึ้น YoY (การจัดเก็บเงินสดปรับเพิ่มขึ้น) แต่จะลดลง QoQ (จากฐานกำไรที่สูงมากใน 2Q25 และแนวโน้มกำไรจากการขาย NPL และ NPA ลดลง)
นอกจากนี้ เราได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปีนี้ขึ้น 14% มาที่ 2.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% YoY แต่เราคาดกำไรปีหน้าจะอ่อนตัวลง 22% YoY โดยเรามองว่าธุรกิจบริหารสินทรัพย์แบบมีหลักประกันยังเผชิญแรงกดดันจากธนาคารที่ยังเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และการแข่งขันในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่รุนแรง
JMT
เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส
แนวโน้มข้างหน้ายังไม่ดีขึ้น
เราคาดกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 323 ล้านบาท ลดลง 12% YoY (gross margin อ่อนตัวลง) และ 2% QoQ (แนวโน้ม cost/income ratio สูงขึ้น) โดยเราคาดการจัดเก็บเงินสด 2Q25 ที่ 1.35 พันล้าน ทรงตัว YoY และ QoQ
ทิศทางเศรษฐกิจที่จะอ่อนแอลงใน 2H25 จะกดดันให้การจัดเก็บเงินสดของ JMT ฟื้นตัวล่าช้า สวนทางกับที่ตลาดคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้นใน 2H25 ทำให้เราคาดกำไร 3Q25 ของ JMT จะลดลง YoY และทรงตัว QoQ โดยเราคาดกำไรสุทธิปีนี้ที่ 1.3 พันล้านบาท ลดลง 17% YoY กดดันจาก gross margin ลดลง และ credit cost สูงขึ้น
Fundamental view: ประมาณการกำไรปีนี้ของเราต่ำกว่าที่ตลาดทำถึง 20% ทำให้มีโอกาสที่ตลาดจะปรับลดประมาณการลงได้ในช่วงที่เหลือของปี ทำให้เรายังแนะนำ ขาย
KCE
เคซีอี อีเลคโทรนิคส์
ผ่านจุดต่ำสุด
แม้ภาพอุปสงค์จะยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่เราคาดกำไรหลักของ KCE น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 1Q25 ฟื้นตัวมาที่ระดับ 220-230 ล้านบาทใน 2Q25 และคาดจะเห็นการฟื้นตัวต่อเนื่องใน 3Q25 ภาพตลาด PCB ระยะสั้นน่าจะยังไม่ฟื้นตัวมากนักอาจจะเห็นผู้เล่นในจีนพยายามเข้ามาแข่งในตลาดอื่น เพื่อรับมือกับภาษี US และคาดจะกดดันราคาขายในช่วงต้นปีหน้า อย่างไรก็ตามภาพระยะยาวน่าจะมีผู้เล่นหายไปจากตลาด
Fundamental view: เรามองการผ่านจุดต่ำสุดของกำไรน่าจะหนุน PER ให้ขึ้นไปเทรดระดับค่าเฉลี่ยที่แถวๆ 27-30 บาทได้ เราปรับคำแนะนำขึ้นจาก ขาย เป็น ซื้อเก็งกำไร (ราคาเป้าหมาย 28 บาท)
รายงานผลประกอบการวันนี้
(+) TRUE รายงานกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 2,031 ล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 4,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 96% YoY แต่ลกลง 2% QoQ สูงกว่าที่เราคาดราว 6% (แต่เป็นไปตามตลาดคาด) จากค่าใช้จ่ายน้อยกว่าคาด ทั้งนี้ ในส่วนรายได้ลดลง 3% YoY, 2% QoQ จากกลุ่มมือถือ แม้ ARPU จะเพิ่มขึ้น 6% YoY และ 2% QoQ แต่จำนวน Sub. ลดลงจาก 48.8 ล้านหมายเลขในเดือน มี.ค. เหลือ 47.5 ล้านฯ ใน มิ.ย. (กำไรที่ดีขึ้นมาจากฝั่งค่าใช้จ่าย) นอกจากนี้ แผนการปรับปรุงสินทรัพย์ทำไปแล้วราว 96% สำหรับแนวโน้ม 3Q25 คาดกำไรหลักจะเพิ่มขึ้น YoY (จากด้านต้นทุน-ค่าใช้จ่ายต่อ) แต่จะลดลง QoQ จากทั้งธุรกิจมือถือ-เน็ตบ้าน เพราะมีแรงกดดันจากฝั่ง ARPU และปริมาณ เนื่องจากมีการแข่งขันชิงลูกค้า EPL ทำให้ด้าน TRUE มีการให้โปรโมชั่นลดราคา เราปรับประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายลงเล็กน้อยเหลือ 14.50 บาท (จาก 15 บาท) ยังแนะนำเก็งกำไร (ดักโอกาสเห็นการจ่ายปันผลเป็นครั้งแรกในปีนี้)
(0) MTC รายงานกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 1.6 พันล้านบาท เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด โดยเพิ่มขึ้น 14% YoY และ 5% QoQ หนุนจากสินเชื่อเติบโต ด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง แนวโน้มกำไรสุทธิ 3Q25 จะเพิ่มขึ้น 11% YoY (และทรงตัว QoQ) จากสินเชื่อเติบโตต่อเนื่อง ทั้งนี้ ราคาหุ้นมี PER ปี 2025 ที่ 12.6 เท่า และเราคาด EPS growth ปี 2025-27 เฉลี่ยที่ 11% คิดเป็น PEG ratio ที่ 1.2 เท่า ซึ่งเรามองว่าได้สะท้อนมูลค่าทางพื้นฐานไปแล้ว เราจึงแนะนำ wait-and-see
(0) THCOM รายงานขาดทุนสุทธิ 2Q25 ที่ 207 ล้านบาท (เป็นไปตามที่เราคาด แต่ขาดทุนมากกว่าตลาดคาด) หักรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 8 ล้านบาท ลดลง 83% YoY แต่พลิกจากขาดทุน QoQ กำไรหลักที่ออกมาดีกว่าที่เราคาดว่าจะขาดทุน เพราะรายได้มากกว่าคาดจาดธุรกิจอินเตอร์เน็ตและมีเดีย ส่วนแนวโน้ม 3Q25 คาดกำไรหลักจะลดลง YoY แต่เพิ่มขึ้น QoQ ทั้งนี้ เราได้ปรับลดประมาณการขาดทุนหลักทั้งปี 2025 ลง เหลือ -44 ล้านบาท แต่ยังให้ราคาเป้าหมายที่ 10.60 บาท และแนะเก็งกำไรดักโครงการ USO เฟส 3 และโอกาสการขยายธุรกิจเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (ย้อนอ่านในรายงานเมื่อ 29 ก.ค.)
สรุปประเด็นจาก Quick take
TU
ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
TU มองว่าอัตราภาษีของไทย (tariffs และภาษีอื่นๆ) มีความสามารถแข่งขัน เมื่อเทียบกับคู่แข่งในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจอาหารแช่แข็ง
View from fundamental: ผลการดำเนินงานดีกว่าคาด โดยเฉพาะ GM ทำให้มีอัพไซด์ต่อประมาณการของเรา อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงในมุม tariff ยังคงต้องติดตามต่อไป เราขอทบทวนประมาณการ
TFM
ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
ผลการดำเนินงาน 2Q25 ที่ออกมาโตโดดเด่น มาจากทั้งยอดขายและมาร์จิ้น ผู้บริหารมองบวกโมเมนตัมผลการดำเนินงาน 3Q25 โตต่อ YoY และ QoQ มาจาก volume growth, market share gain, ราคาขาย, และต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง
View from fundamental: เราคาดโมเมนตัมดีต่อเนื่อง มีปัจจัยบวกทั้งยอดขายและมาร์จิ้นใน 2H25
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน