Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมิน SET เดือน ส.ค. Sideway Up รับข่าวดีภาษีนำเข้าสหรัฐฯ- แนะกลยุทธ์ "เก็บของถูก"

72

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (4 สิงหาคม 2568 )-----บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยเดือนสิงหาคม 2568 มีแนวโน้ม Sideway Up รับข่าวดีภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน จึงให้กรอบดัชนี 1,200–1,250 จุด  แนะกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่ปรับตัวลงแรงจากความกังวลตัวเลขภาษีที่สูงเกินไป ได้แก่ AMATA-WHA-ROJNA-TU-ITC-AAI-HANA-KCE-DELTA

 

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือนสิงหาคม 2568 มีโอกาสปรับตัว Sideway Up โดยได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยต่างประเทศเป็นประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราภาษีศุลกากรใหม่ที่จะเรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศไทยได้บรรลุข้อตกลงอัตราภาษีสำหรับสินค้าที่ 19% ลดลงจากระดับก่อนหน้าที่เคยกำหนดไว้ 36% ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่   7 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป

สำหรับการลดอัตราภาษีศุลกากรใหม่ที่ 19% ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อแนวโน้มการค้าระหว่างประเทศ และช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ เพราะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยได้ดีขึ้น เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในอาเซียน รวมทั้งยังสามารถดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ โดยเฉพาะบริษัทที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากสงครามการค้าและต้องการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งไทยจะกลายเป็นฐานการผลิตที่น่าสนใจมากขึ้น

อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจไทยโดยรวมไม่ต้องประสบปัญหาเศรษฐกิจถดถอยเพราะการลดการเก็บภาษีเหลือ 19% จะช่วยพยุงไม่ให้ภาคส่งออกหดตัวรุนแรง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศต่อเสถียรภาพทางการค้าของไทย และสามารถช่วยลดต้นทุนสำหรับผู้ประกอบการบางราย ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทยโดยรวม ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน โดยฝ่ายวิจัยมองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีที่ 1,200–1,250 จุด

ทั้งนี้ทางสมาคมนักลงทุนรายย่อยอเมริกัน (AAII) ได้เปิดเผยผลสำรวจของนักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในระยะ 6 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ นักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวน 40.3% เพิ่มขึ้นจากระดับ 36.8% ในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 37.5% และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ปรับตัวขึ้น 2.6%YoY ในเดือน มิ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.5%YoY จากระดับ 2.4%YoY ในเดือน พ.ค.

ขณะที่ธนาคารกรุงไทยประเมินว่า สถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาจะส่งผลกระทบ ผ่าน      3 ช่องทางหลัก ได้แก่ การค้าชายแดน การท่องเที่ยว และการลงทุน ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าความเสียหายอย่างน้อยราว 17,000 ล้านบาทต่อเดือน โดยในด้านการค้าชายแดนนั้นถือเป็นช่องทางที่จะได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชามากที่สุด เนื่องจากการค้าชายแดนไทยและกัมพูชาคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 48% ของมูลค่าการค้าระหว่างไทยและกัมพูชาทั้งหมด  

อีกทั้ง SCB EIC ของธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินว่า เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ CLMV จะชะลอลงเหลือ 5.1% ในปี 2568 จาก 6.3% ในปี 2567 เนื่องจากอัตราภาษีของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นภายใต้นโยบาย Trump 2.0 และธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในเดือน มิ.ย. และชะลอต่อในไตรมาสที่ 3 จากผลกระทบของนโยบายการค้าโลกต่อการส่งออกสินค้า และการผลิตทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังคงออกมาให้ข่าวต่อเนื่องว่า สหรัฐฯ เดินหน้าเริ่มเก็บภาษีนำเข้าที่เรียกว่าภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในอัตราระหว่าง 15% - 50% หลังพ้นเส้นตายเจรจาการค้าในวันที่ 1 ส.ค.นี้ โดยกำหนดให้ 15% เป็นอัตราขั้นต่ำ สำหรับประเทศที่มีความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นกับสหรัฐฯ อาจถูกเก็บในอัตราสูงสุด 50%

 นอกจากนี้ยังคงต้องเฝ้าระวังปัจจัยในประเทศที่อาจจะส่งผลต่อการลงทุนได้เช่นกัน อาทิ วันที่ 13 ส.ค. กำหนดประชุม กนง. ครั้งที่ 4/2568, วันที่ 14 ส.ค. กำหนดส่งงบการเงินวันสุดท้ายประจำไตรมาส 2/68, วันที่ 22 ส.ค. ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในคดีนายทักษิณ ชินวัตร จำเลยในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112  ส่วนปัจจัยต่างประเทศ อาทิ วันที่ 4 ส.ค. สหรัฐฯ รายงานยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือน มิ.ย., วันที่ 5 ส.ค. ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยรายงานการประชุม, ญี่ปุ่น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือน ก.ค., สหรัฐฯ รายงานยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือน มิ.ย. ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือน ก.ค. และดัชนีภาคบริการเดือน ก.ค.

นายวัชเรนทร์ จงยรรยง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก  แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชย์จากการกรณีที่สหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงอัตราภาษีสำหรับสินค้ากับประเทศไทยที่ระดับ 19% ได้แก่หุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เช่น AMATA, WHA และ ROJNA หุ้นกลุ่มส่งออกอาหาร เช่น TU, ITC,และ AAI และหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น HANA, KCE และ DELTA เนื่องจากช่วงก่อนหน้าราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงมาต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาหุ้นมีโอกาสกลับมา Rebound ได้ในระยะสั้น

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้