Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

79

 

 

สั้นๆ SET ติดๆ ตึงๆ
TOP PICK TU / SPALI / GFPT

 

EXTERNAL FACTOR
• ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันศุกร์ที่ผ่านมา ปรับตัวลงแรงราว 1.2%-2.3% จากตลาดแรงงาน ของสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณอ่อนแอลง ผ่านตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และ อัตราการว่างงาน จึงทำให้เม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงไปสู่ตลาดตราสารหนี้ มากขึ้น สังเกตจาก BOND YIELD สหรัฐฯอายุ 2 ปี และ 10 ปีที่ปรับตัวลงแรง
• นักลงทุนเพิ่มความคาดหวังว่า FED จะลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมเดือนก.ย. 68 โดย FED WATCH TOOL บ่งชี้ว่า ความเป็นไปได้ที่ FED จะลดดอกเบี้ยลง 25 BPS. ได้เพิ่มขึ้นจาก 37.7% มาอยู่ที่ 80.3% โดยมอง ณ สิ้นปีนี้จะลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ครั้งละ 25 BPS. อยู่ที่ระดับ 3.75%

 

INTERNAL FACTOR
• ในแง่มุมภาพรวมเศรษฐกิจ จำเป็นต้องติดตามผลกระทบต่อเนื่องจากมาตรการ TARIFF ซึ่งอัตราภาษีศุลกากรที่ประเทศต่างๆ เคยจ่ายให้กับสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้เฉลี่ย ราว 5.1% แต่ล่าสุดของไทยถูกขยับขึ้นเป็น 19%
• ซึ่งจะเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ส่งออกไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บวกกับการย้ายฐาน การผลิตของบริษัทต่างชาติ มีโอกาสลุกลามถึงการจ้างงานในที่สุด ทำให้ความเสี่ยง เกิด TECHNICAL RECESSION (GDP ติดลบ 1 ไตรมาสต่อกัน) โดยเฉพาะช่วง 1H69 ยังทิ้งไม่ได้ในบ้านเรา

 

INVESTMENT STRATEGY
• SET INDEX เริ่มตึงๆ มีโอกาสย่อสูง ทั้งโอกาสปรับฐานตามตลาดหุ้นโลก และเชิงเทคนิคที่ SET เข้าเขต RSI OVERBOUGHT และไม่ผ่านเส้น EMA 200 วัน แต่ยังมีข้อดีที่มูลค่าซื้อขายกลับมาคึกคักเกิน 5 หมื่นล้านบาท ต่อวันมา 4 วันติด
• กลยุทธ์การลงทุน ช่วงนี้แนะนำเก็งกำไรหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว 1. หุ้นได้กระแสการเข้ามาของหุ้น THAI บวกต่อ THAI, BA, AAV, BBL, KTB 2. หุ้นรับกระแสวัฎจักรดอกเบี้ยขาลง MTC, TIDLOR, ICHI, SPALI, SIRI 2. หุ้น GLOBAL PLAY รับกระแสภาษีตอบโต้ไทย 19% ใกล้เพื่อนบ้าน CPF, BTG, TFG, TU, AMATA, WHA

 

ดอกเบี้ยสหรัฐฯ DOVISH มากขึ้น หนุน BOND YIELD สหรัฐฯ ปรับตัวลง
ตลาดหุ้นสหรัฐฯวันศุกร์ที่ผ่านมา ปรับตัวลงแรงราว 1.2%-2.3% จากตลาดแรงงานของสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณ อ่อนแอลง โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค.68 ต่ำกว่าตลาดคาดที่ ระดับ 106,000 ตำแหน่ง อีกทั้งกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ยังได้ปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนมิ.ย.68 เพิ่มขึ้นเป็น 14,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานว่าเพิ่มขึ้น 147,000 ตำแหน่ง และปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนพ.ค.68 เพิ่มขึ้น เป็น 19,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานว่าเพิ่มขึ้นมากถึง 125,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานเดือน ก.ค.68 ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.2% สอดคล้องกับตัวเลขตลาดคาด และเพิ่มขึ้นจากเดือนมิ.ย.68 ที่ระดับ 4.1%

 

อีกทั้งตลาดยังมีความกังวลจากทรัมป์ประกาศว่าได้สั่งปลด เอริกา แมคเอนทาร์เฟอร์หัวหน้าสำนักงานสถิติแรงงาน สหรัฐฯ หลังการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่ถูก REVISED DOWN มาตลอดทาง นอกจากนี้ FED เปิดเผยว่า เอเด รียนา คุกเลอร์ หนึ่งในผู้ว่าการ FED จะลาออกก่อนกำหนดในวันที่ 8 ส.ค.68 ซึ่งจะเปิดทางให้ทรัมป์แต่งตั้งผู้ว่าการ FED คนใหม่ เพื่อเพิ่มโอกาสในการลดอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น ประเด็นดังกล่าวจึงทำให้เม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์ เสี่ยงไปสู่ตลาดตราสารหนี้มากขึ้น โดยล่าสุด BOND YIELD สหรัฐฯอายุ 2 ปี และ 10 ปี ปรับตัวลง 25 BPS.และ 16 BPS. ตามลำดับ

 

จึงทำให้นักลงทุนเพิ่มความคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมเดือนก.ย. 68โดย FED WATCH TOOL บ่งชี้ว่า ความเป็นไปได้ที่FED จะลดดอกเบี้ยลง 25 BPS. ได้เพิ่มขึ้นจาก 37.7% มาอยู่ ที่ 80.3% โดยมอง ณ สิ้นปีนี้จะลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ครั้งละ 25 BPS. อยู่ที่ระดับ 3.75%

 

ถือเป็น SENTIMENT บวกต่อหุ้นการเงิน MTC TIDLOR, และหุ้นหุ้นปันผลระหว่างกาลสูง SPALI, SIRI, ICHI

 

ติดตามต่อเนื่องหลังไทยปีดดีล TARIFF ได้ 19%
สำหรับข้อเสนอของไทย เพื่อแลกเปลี่ยนกับสหรัฐฯ ลดภาษีตอบแทนเหลือ 19% (เดิม 36%) สรุปได้ดังนี้

 

1. เว้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ราว 90% ไทยเปิดภาษี 0% ให้สินค้าสหรัฐฯกว่า 10,000 รายการ (นำเข้าหมูไม่เกิน 1% ของการบริโภคในประเทศ) เช่น เครื่องมือแพทย์ ชิ้นส่วนยานยนต์ขั้นสูง อาหารเฉพาะทาง

2. ลดมาตรการกีดกันทางเทคนิค (NTBS) ผ่อนคลายขั้นตอนสุขอนามัย-ศุลกากร อนุญาตให้สินค้าผ่าน ด่านก่อนแล้วตรวจย้อนหลัง เพื่อเร่งกระบวนการและช่วยลดต้นทุนผู้ส่งออกสหรัฐฯ

3. เปิดทางลงทุน EEC ไทยเสนอบริการ FAST-TRACK พร้อมสิทธิ BOI ดึงบริษัทสหรัฐฯลงทุนพลังงาน สะอาด-SEMICONDUCTOR/ICT-โลจิสติกส์

4. สั่งซื้อพลังงาน-อากาศยาน รัฐ-เอกชนไทยเตรียมซื้อ LNG และเครื่องบิน BOEING รุ่นใหม่ ลดดุลการค้าที่ ไทยเกินสหรัฐฯ

5. ให้คำมั่นลด “เกินดุลการค้า” กับสหรัฐฯ ภายในปี 2573 ไทยเสนอ ROADMAP นำเข้าเพิ่ม-ดึงเงินลงทุน กลับเข้าสู่สมดุล

6. รับกติกา RVC ใหม่ (RULES OF ORIGIN) ไทยยินยอมใช้กฎถิ่นกำเนิดสินค้าที่เข้มงวดขึ้น ป้องกันจีนใช้ไทย หลบภาษี

7. ลดภาษีบริการดิจิทัล/คลาวด์จากสหรัฐฯ ไทยเสนอเว้นภาษี 5% เป็นเวลา 2 ปี ให้ AWS–GOOGLE CLOUD เพื่อดึงลงทุนเทคโนโลยีสหรัฐฯ

8. ขยายโควตาพืชเกษตรสหรัฐฯ ไทยยอมเพิ่มโควตานำเข้านำเข้าข้าวโพด–บาร์เลย์–ถั่วเหลืองเพิ่ม สนับสนุน อาหารสัตว์ไทยและเกษตรกรสหรัฐฯ

9. กันสินค้ายุทธศาสตร์จากการเปิดภาษี 0% ไทยยังคงภาษีข้าว น้ำตาล ผลไม้แปรรูป เพื่อปกป้องเกษตรกร ไทย

10. คลี่คลายตึงเครียดไทย–กัมพูชา แม้ไม่เป็นทางการ แต่การลดความตึงเครียดชายแดนเป็นเงื่อนไขแฝง ต่อรองภาษี

 

ในแง่มุมภาพรวมเศรษฐกิจ จำเป็นต้องติดตามผลกระทบต่อเนื่องจากมาตรการ TARIFF ซึ่งอัตราภาษีศุลกากรที่ ประเทศต่างๆ เคยจ่ายให้กับสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้เฉลี่ยราว 5.1% แต่ล่าสุดของไทยถูกขยับขึ้นเป็น 19% ซึ่งจะเป็นการ เพิ่มต้นทุนให้กับผู้ส่งออกไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บวกกับการย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่างชาติ มีโอกาสลุกลาม ถึงการจ้างงานในที่สุด ทำให้ความเสี่ยงเกิด TECHNICAL RECESSION (GDP ติดลบ 1 ไตรมาสต่อกัน) โดยเฉพาะ ช่วง 1H69 ยังทิ้งไม่ได้ในบ้านเรา

 

ส่วนประเด็นข้อกลุ่มสินค้าที่ต้องสงสัยว่ามีการส่งต่อผ่านประเทศที่สาม (TRANSSHIPMENT) เพื่อหลบเลี่ยงภาษี ทางสหรัฐฯ ได้กำหนดอัตราภาษี 40% ซึ่งจากข้อมูลที่ฝ่ายวิจัยฯ รวบรวม พบว่า กลุ่มสินค้าที่อยู่ในรูปแบบที่ส่งออก สินค้าจากประเทศต้นทาง เปลี่ยนผ่านที่ไทย และไปสู่ประเทศปลายทาง ถือเป็นสินค้าผ่านแดน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ และกรมศุลกากร จะไม่นำมานับรวมเป็นมูลค่าการส่งออกของไทย เนื่องจากไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศ

 

นอกจากนี้ ยังได้นำมูลค่าส่งออกไทยไปสหรัฐฯ เทียบกับมูลค่าไทยนำเข้าจากจีน เพื่อหาสัญญาณความผิดปกติของ การลักลอบสินค้าจากจีนไปขายที่สหรัฐฯ โดยผ่านประเทศไทย พบว่าสัดส่วนในช่วง TRADE WAR 1 ไม่ได้มีความ แตกต่างมากนักกับช่วงภาวะปกติ

 

ข้อแลกเปลี่ยนไทยปิดดีลภาษีสหรัฐฯ 19% กระทบกลุ่มอุตสาหกรรมไหนบ้าง ? (PART 1)
ผลกระทบข้อแลกเปลี่ยนไทยปิดดีลภาษีสหรัฐฯ 19% สำสรุปได้ดังนี้

 

กลุ่มพลังงาน : PTT. เตรียมนำเข้า LNG ล็อตใหม่ 1ล้านตัน/ปี จากสหรัฐฯ ในปี 2569 ส่วนความร่วมมือในการจัดหา LNG ระหว่างกระทรวงพลังงานร่วมกับรัฐอะแลสกา (ALASKA LNG) ปัจจุบันยังไม่ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกัน เนื่องจากกระทรวงฯต้องพิจารณาราคาที่มีความเหมาะสมและแข่งขันได้ด้วย โดยฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นกลาง เนื่องจากอยู่ในแผนการจัดหาด้านพลังงานของ ปตท.ไว้ในช่วงก่อนหน้านี้อยู่แล้ว โดยจะเป็นการทดแทนการนำเข้า ก๊าซ LNG จากแหล่ง MIDDLE EAST ที่น้อยลง

 

ในกรณีของการสนับสนุนเว้นภาษี 5% 2ปี ให้ GOOGLE CLOUD : ส่งผลให้มีการดึงดูด และช่วยขยายการลงทุน ภาคเอกชน ในธุรกิจ CLOUD, DATA CENTER ถือเป็นมุมมองเชิงบวกต่อผู้ประกอบการที่มีธุรกิจเนื่องเกี่ยวเนื่องกับ กลุ่มดังกล่าว อาทิ GULF ที่มีความร่วมมือกับ GOOGLE CLOUD , BGRIM ที่กำลังเริ่มต้นเข้าธุรกิจ DATA CENTER เป็นต้น

 

กลุ่มวัสดุก่อสร้าง : SCC จะมีการนำเข้า ETHANE สำหรับใช้เป็น FEEDSTOCK ให้กับโรงงานปิโตรเคมีในประเทศ เวียดนาม ซึ่งจะได้ประโยชน์ทางอ้อมจากกรณีที่เวียดนามยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐทั้งหมด ส่วนประเด็น ปัญหาความตึงเครียดไทย-กัมพูชา หากคลี่คลายลง จะส่งผลบวกต่อกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่มีการค้าชายแดนได้แก่ ปูนซีเมนต์ (SCC,SCCC,TPIPL) กระเบื้อง (SCGD,DCC) ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างต่างๆ (TASCO) รวมถึงการขนส่งข้าม ชายแดน (SJWD)

 

กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ : คาดจะยังไม่เห็นผลในระยะสั้นต่อยอดส่งออกไปสหรัฐ เนื่องจากคาดว่าน่าจะมีการเร่งสั่งซื้อ สินค้าตั้งแต่ 1H68 เพื่อให้ดำเนินการผลิตและขนส่งทันในต้น 3Q68 ก่อนที่จะมีภาษีตอบโต้จะมีผลบังคับใช้อย่างไรก็ ตามเชื่อว่าผู้ประกอบการจะต้องมีการเจรจากับลูกค้าในสหรัฐเพิ่มเติมจากเดิม โดยเฉพาะ DELTA และ KCE ซึ่งส่วน ใหญ่ลูกค้าที่นำเข้าจะยอมรับอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นได้เพียง 10%-15% ซึ่งต้องติดตามผลการเจรจาต่อไป โดยหาก ผู้ประกอบการไม่สามารถลดต้นทุนอื่นๆได้ ระยะถัดไปอาจจะเห็นผลกระทบต่อยอดขายอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2569

 

กลุ่มโรงพยาบาล : ได้ผลบวกเล็กน้อยจากความตึงเครียดไทย-กัมพูชาที่คลี่คลายลง เนื่องจากลูกค้ากัมพูชา คิด เป็น 1-4% ของรายได้ รพ. ส่วนการนำเข้าเครื่องมือแพทย์จากสหรัฐฯ ที่ได้รับการยกเว้นภาษี ไม่ค่อยได้ผล บวก เนื่องจากรายการดังกล่าวได้รับการยกเว้นภาษีอยู่แล้วในปัจจุบัน หากคาบเกี่ยวรายการวัสดุ/อุปกรณ์ทาง การแพทย์ น้ำยา หรือ ยาที่นำเข้าจากสหรัฐฯ ด้วย มองได้ประโยชน์บ้างเล็กน้อย เนื่องจาก รพ.ไทยส่วนใหญ่ใช้ยา น้ำยา นำเข้าจากสหรัฐฯไม่เกิน 10% ผ่าน AGENCY จะมีแต่ KLINIQ ที่เน้นเครื่องมือ/อุปกรณ์ น้ำยา นำเข้ามาจาก US FDA โดยเฉพาะ ทำให้ภาพรวมต้นทุนอาจได้ประโยชน์มากสุดในกลุ่ม

 

SET ตึงๆ ติดๆ แต่กฌยังมีหุ้นให้เก็งกำไร
SET INDEX เริ่มตึงๆ มีโอกาสย่อสูง ทั้งโอกาสปรับฐานตามตลาดหุ้นโลก และเชิงเทคนิคที่ SET เข้าเขต RSI OVERBOUGHT และไม่ผ่านเส้น EMA 200 วัน แต่ยังมีข้อดีที่มูลค่าซื้อขายกลับมาคึกคักเกิน 5 หมื่นล้านบาทต่อวัน มา 4 วันติด

 

กลยุทธ์การลงทุน ช่วงนี้แนะนำเก็งกำไรหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว 3 ธีม ดังนี้

▪ หุ้นได้กระแสการเข้ามาของหุ้น THAI ในวันนี้ บวกต่อหุ้นขนส่ง THAI, BA, AAV ที่กำไรของ THAI 68F เด่น กว่า 2.8 หมื่นล้านบาท หนุน P/E กลุ่มฯ ลดลง ทำให้กองทุนมีโอกาสตัดสินใจเพิ่มน้ำหนักหุ้นได้ และบวกต่อ ผู้ปล่อยกู้ที่กลับหนี้เป็นทุน อย่าง BBL, KTB

▪ หุ้นรับกระแสวัฎจักรดอกเบี้ยขาลง หลังตัวเลขแรงงานสหรัฐเริ่มอ่อนแอ BOND YIELD 10Y US ลดลง 16 BPS. ในคืนเดียว แนะหุ้นการเงิน MTC, TIDLOR หุ้นปันผลระหว่างกาลสูง ICHI, SPALI, SIRI

▪ หุ้น GLOBAL PLAY รับกระแสภาษีตอบโต้ไทย 19% ใกล้เพื่อนบ้าน เริ่มเห็นการสลับเม็ดเงินเข้ามาเพิ่มขึ้น แนะนำ CPF, BTG, TFG, TU, AMATA, WHA

 

Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้