SET อาจแตะเบรกสั้นๆ แต่ยังไม่หยุด
TOP PICK ICHI / SPALI / CPALL
EXTERNAL FACTOR
• ผลการประชุม FED รอบเดือน ก.ค. 68 มีมติ 9-2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.5% เป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกัน ตามคาด โดย POWELL ย้ำว่า “ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม” สำหรับการลดดอกเบี้ย
• การตอบสนองของสินทรัพย์ต่างๆ หลังประธาน FED มีท่าทีแข็งกร้าวต่อการปรับลดดอกเบี้ย บวกกับความไม่แน่นอนของ TARIFF ผลักให้ DOLLAR แข็งค่าอย่างรวดเร็วสวนทางกับเงินบาทอ่อนค่าในเชิงเปรียบเทียบ
• อย่างไรก็ดีความคาดหวังที่จะเห็น FED ลดดอกเบี้ยในปีนี้ยังไม่ได้หมดไป
INTERNAL FACTOR
• ไทย ลุ้นถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีต่ำกว่า 36% หรือไม่ ? แต่หากประเมินจากข้อเสนอที่ไทยให้ต่อสหรัฐฯ มีความใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งการลงทุนและซื้อสินค้าในสหรัฐฯ ทำให้เกิดความคาดหวังว่าไทยจะได้รับอัตราภาษีอยู่ในกรอบ 15%-20%(ภาษีประเทศเพื่อนบ้าน)
• ช่วงก่อนวันรู้ผล แนะนำ WAIT AND SEE หรือถือเงินสดไว้ในพอร์ตราว 5-10% แต่หากประสงค์อยากได้ CAPITAL GAIN ก็ถือเป็นจังหวะสะสมที่ดี เนื่องจากดัชนีที่ระดับ
ดังกล่าว VALUATION เด่นพร้อมกับการเติบโตของ EPS GROWTH ในปีน
INVESTMENT STRATEGY
• SET INDEX ขึ้นมาเร็ว 191 จุด หรือ +18% ในช่วงเดือนเศษๆ มาอยู่ที่ 1244 จุด ซึ่งเป็นการผ่านเส้น EMA 200วันอีกครั้งที่ 1237 จุด จึงเชื่อว่าการขึ้นน่าจะเป็นลักษณะชะลอๆ ก่อนจะเดินหน้าต่อ เพราะนักลงทุนรอดูตัวเลขภาษีตอบโต้สหรัฐ ก่อนมีผลบังคับใช้เที่ยงวันพรุ่งนี้
• กลยุทธ์ช่วงสั้น แนะเก็งกำไรหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว 4 ธีม 1. หุ้นเข้าสู่วัฎจักรดอกเบี้ยขาลง TIDLOR, MTC,SAWAD 2. หุ้นปันผลระหว่างกาลสูง SPALI, SIRI, ICHI 3. หุ้นได้ประโยชน์บาทอ่อน SAPPE, TU, ITC, BH,BDMS, ERW, CENTEL4. หุ้นได้กระแสทองแดงลงแรง KCE, HANA, CCET, DELTA
จุดเริ่มต้นดอกเบี้ยขาลงริบหรี่แค่ไหน ??
ผลการประชุม FED รอบเดือน ก.ค. 68 มีมติ 9-2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.5% เป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกัน ตามคาดโดย POWELL ย้ำว่า “ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม” สำหรับการลดดอกเบี้ย อีกทั้งไม่เห็นว่าการใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดส่งผลลบต่อเศรษฐกิจในตอนนี้ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดยังสะท้อนถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งใน 2Q68ไม่ว่าจะเป็น GDP GROWTH โต +3% สูงกว่าคาด เช่นเดียวกับ CORE PCE ขยายตัว +2.5%พร้อมกันนี้ยังได้ประเมินความดเสี่ยงของนโยบายภาษีใหม่จาก TRUMP จะสร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจ และอาจเกิดเงินเฟ้อแบบชั่วคราว หรืออาจยืดเยื้อ ซึ่งต้องติดตาม
ขณะที่ล่าสุด FEDWATCH TOOL ให้น้ำหนักเกินครึ่ง (เดิมคาด 33%) มองว่า FED จะคงดอกเบี้ยในเดือนถัดไป และในปีนี้อาจเห็นการลดดอกเบี้ยเพียงแค่ 1 ครั้ง (DOT PLOT คาด 2 ครั้ง)
การตอบสนองของสินทรัพย์ต่างๆ หลังประธาน FED มีท่าทีแข็งกร้าวต่อการปรับลดดอกเบี้ย บวกกับความไม่แน่นอนของ TARIFF ผลักให้ DOLLAR แข็งค่าอย่างรวดเร็วใกล้แตะ 100 จุด (+2.5%WTD) สวนทางกับเงินบาทอ่อนค่าในเชิงเปรียบเทียบมาอยู่ที่ 32.7 บาท/ดอลลาร์ (+1.7%WTD) สำหรับธีมการลงทุนค่าเงินบาทเร่งมาอ่อนค่าอีกครั้ง หลังดอลลาร์อ่อนค่าเร็ว แนะนำหุ้นเด่น SAPPE, TU, ITC, BH, BDMS, ERW, CENTELอย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่ FED 2 ราย ได้แก่ CHRISTOPHER WALLER และ MICHELLE BOWMAN (แต่งตั้งโดยTRUMP) “เสนอให้ลดดอกเบี้ยทันที” โดยอ้างถึงความอ่อนแอในตลาดแรงงาน นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกในรอบ 32 ปีที่ “FED เสียงแตก” ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความคาดหวังว่าจะเห็น FED จะเริ่มเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยในปีนี้ สำหรับธีมการลงทุนวัฎจักรดอกเบี้ยขาลงเต็มรูปแบบใกล้เข้ามาผสมกับเข้าช่วงจ่ายปันผลระหว่างกาลพอดี แนะนำหุ้นเด่นTIDLOR, MTC, SAWAD, SPALI, SIRI, ICHI
TRADE TARIFF ส่งผลต่อประเทศไทยมากน้อยเพียงใด
นับถอยหลัง 1 วัน ก่อนที่มาตรการ TARIFF จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. 68 โดยสหรัฐฯ ทยอยประกาศข้อตกลงทางการค้ารอบใหม่ เพื่อแลกกันการปรับลดอัตราภาษีให้กับหลายประเทศ ทั้งอังกฤษ, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, จีน,ฟิลิปปินส์, ญี่ปุ่น,ยุโรป รวมถึงกลุ่มประเทศเล็ก อาทิละตินอเมริกา, แคริบเบียน,แอฟริกา ที่จะถูกเก็บภาษีพื้นฐานที่10%ส่วน “เกาหลีใต้” บรรลุดีลการค้ากับสหรัฐฯแล้ว โดยได้ภาษีนำเข้าเหลือ 15% จาก 25%แลกกับจะซื้อก๊าซ LNGและผลิตภัณฑ์พลังงานอื่น ๆ มูลค่า 1 แสนล้านเหรียญฯในช่วง 3 ปีข้างหน้า บวกกับลงทุนโครงการในอเมริกา 3.50แสนล้านเหรียญฯ
ส่วนประเทศไทย ได้ส่งดีลรอบสุดท้ายในให้กับสหรัฐฯแล้ว ลุ้นสหรัฐฯ เก็บภาษีต่ำกว่า 36% หรือไม่ ? อย่างไรก็ตามหากประเมินมูลค่าผลประโยชน์ที่สหรัฐฯ จะได้รับจากข้อเสนอของ “ไทย” คาดการณ์ว่าจะอยู่ราว 12.5 – 14 พันล้านเหรียญฯ ซึ่งใกล้เคียงกับมูลค่าที่ประเมินไว้ของอินโดนีเซีย, ยุโรป และเวียดนาม ทำให้เกิดความคาดหวังว่าสหรัฐฯ จะเก็บภาษีไทยในระดับที่ไม่ต่างกันมาก คาดอยู่ในกรอบ 15%-20%
จึงทำให้กระทรวงการคลังปรับเพิ่ม GDP ปี 68 โต 2.2% ดีกว่าประมาณการครั้งก่อนเดือนเม.ย.68 ที่ 2.1% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรม และการส่งออกที่ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับการบริโภคภายในประเทศ ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นทิศทางเดียวกันกับ ธปท. และ ADB ที่ปรับเพิ่มประมาณการ GDP ไทยเช่นกัน อย่างไรก็ตามแม้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ดีในช่วง 1H68 แต่จำเป็นต้องติดตามทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วง2H68 ไว้ให้ดีที่อาจเผชิญความท้าทายจากแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยทั้งทางตรง และทางอ้อม ซึ่งรัฐบาลเตรียมจัดสรรเม็ดเงินราว 1 หมื่นล้านบาท จากวงเงินงบประมาณ 1.15 แสนล้านบาทเพื่อใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อช่วยเหลือผลกระทบจาก TRADE TARIFF2.0 ไว้ระดับหนึ่งแล้วดังนั้น ในช่วงก่อนวันรู้ผล 1 วัน ฝ่ายวิจัยฯแนะนำ WAIT AND SEE หรือถือเงินสดไว้ในพอร์ตราว 5-10% แต่หากประสงค์อยากได้ CAPITAL GAIN ก็ถือเป็นจังหวะสะสมที่ดี เนื่องจากดัชนีที่ระดับดังกล่าว VALUATION เด่นพร้อมกับการเติบโตของ EPS GROWTH ในปีนี้
SET อาจติดๆ บ้าง แนะเก็งกำไรกับหุ้น 4 ธีม
SET INDEX ขึ้นมาเร็ว 191 จุด หรือ +18% ในช่วงเดือนเศษๆ มาอยู่ที่ 1244 จุด ซึ่งเป็นการผ่านเส้น EMA 200 วันอีกครั้งที่ 1237 จุด จึงเชื่อว่าการขึ้นน่าจะเป็นลักษณะชะลอๆ ก่อนจะเดินหน้าต่อ เพราะนักลงทุนรอดูตัวเลขภาษีตอบโต้สหรัฐ ก่อนมีผลบังคับใช้เที่ยงวันพรุ่งนี้
กลยุทธ์ช่วงสั้น แนะเก็งกำไรหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว 4 ธีม
▪ หุ้นรับวัฎจักรดอกเบี้ยโลกกลับมาเป็นขาลง หลังคณะกรรมการ FED เริ่มเสียงแตก 9:2 ในการประชุมล่าสุดTIDLOR, MTC, SAWAD
▪ หุ้นปันผลสูงซึ่งใกล้เข้าสู่ช่วงจ่ายปันผลระหว่างกาล SPALI, SIRI, ICHI
▪ หุ้นได้ประโยชน์บาทอ่อน (บาทอ่อนค่าเร็ว 1.7%WTD) SAPPE, TU, ITC, BH, BDMS, ERW, CENTEL
▪ หุ้นได้กระแสทองแดงลงแรง (หลังทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีทองแดง 50% เมื่อคืน ราคทองแดงลง -18%) KCE, HANA,CCET, DELTA
Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์