สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(30 กรกฎาคม 2568)-------SCGD เผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 แข็งแกร่งขึ้น มีความสามารถทำ กำไรต่อเนื่อง เทียบไตรมาสก่อน กำไรไม่รวมค่าใช้จ่ายปรับโครงสร้างธุรกิจ 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากโครงการลดต้นทุนพลังงาน เตรียมคว้าโอกาสจากการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ในเวียดนาม และ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก เร่งผลิตและจัดหาสินค้า HVA และสินค้าเกี่ยวเนื่อง เดินหน้าปรับตัวฉับไวรับมือเศรษฐกิจผันผวนรุนแรง ชู 3 กลยุทธ์เข้มข้น 1.) ปักหมุดเวียดนามเป็นฐาน การผลิต-ส่งออก เสริมศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก ทั้งด้านต้นทุนการผลิต และด้านเพิ่มกำลังการ ผลิตกระเบื้องเกรช พอร์ซเลน รองรับตลาดเติบโต 2.) ขยายพอร์ตสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง และธุรกิจที่ มีการเติบโตสูง เจาะตลาดทุกเซกเมนต์ด้วยสินค้า HVA และสินค้านำเข้าคุณภาพ ราคาและต้นทุนที่ แข่งขันได้ 3.) มุ่งลดต้นทุนการผลิตผ่านการปรับโครงสร้างธุรกิจและลดเงินทุนหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน SCGD จ่ายปันผลเพิ่มเป็น 0.15 บาท เพื่อเป็นการดูแลผู้ถือหุ้น ในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวนทั้งโลกและไทย และแสดงถึงความมั่นใจในธุรกิจที่เติบโต มีกระแสเงินสด และ ฐานะการเงินแข็งแกร่ง
นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor (SCGD) ผู้นำในธุรกิจเซรามิก วัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ในภูมิภาค อาเซียน กล่าวว่า “ผลประกอบการไม่รวมค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างธุรกิจในไตรมาส 2 ปี 2568 มี EBITDA อยู่ที่ 879 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน มีกำไร 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากไตรมาสก่อน จากโครงการลดต้นทุนพลังงาน เร่งผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) รวมถึงปรับโครงสร้างธุรกิจส่งผลให้บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายที่ลดลง บริษัทมี EBITDA on sales อยู่ที่ร้อยละ 15.2 และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 4.8 ซึ่งสูงสุดใน รอบ 5 ไตรมาสที่ผ่านมา นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2567
นอกจากนี้ ปริมาณการขายกระเบื้องในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 31.7 ล้านตารางเมตร โดยได้รับอานิสงส์ จากการฟื้นตัวของตลาดภูมิภาคโดยเฉพาะในเวียดนาม ซึ่ง SCGD มีธุรกิจ PRIME ที่สามารถบริหารต้นทุนให้ แข่งขันเทียบเท่าผู้เล่นระดับโลก
จากการที่บริษัทปรับตัวเชิงรุกพร้อมรับมือความผันผวน เดินหน้าติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และในประเทศอย่างใกล้ชิด ทำให้มั่นใจว่าธุรกิจจะสามารถคว้าโอกาสจากความท้าทายจากเศรษฐกิจได้ด้วย 3 กลยุทธ์เข้มข้น ดังนี้ 1.) ปักหมุดเวียดนามเป็นฐานการผลิต-ส่งออก เสริมศักยภาพความสามารถการ
แข่งขันในตลาดโลก โดยเวียดนามเริ่มผลักดันต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้เทียบเท่ากับผู้เล่นระดับโลกได้ แล้ว อีกทั้งเร่งเพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนกว่า 25% ของกำลังการผลิตรวม ส่งผลให้เวียดนาม มีปริมาณการขายกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนสูงขึ้นสอดคล้องกับความนิยมและความต้องการของตลาด เตรียมพร้อม เป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก รองรับการเติบโตของภูมิภาค 2.) ขยายพอร์ตสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง และ ธุรกิจที่มีการเติบโตสูง เจาะตลาดทุกเซกเมนต์ด้วยสินค้า HVA และสินค้านำเข้าคุณภาพ ราคาและต้นทุนที่แข่งขันได้ อาทิ กลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ปัจจุบันบริษัทมียอดขายกลุ่ม HVA กว่า 37% ของรายได้ จากการขายเทียบกับปีก่อนที่ 34% อีกทั้งขยายพอร์ตสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่องในไทย ที่จะเพิ่มโอกาสความ หลากหลาย (Sourcing) ตอบโจทย์กลุ่มที่มีความต้องการเฉพาะเจาะจง 3.) มุ่งลดต้นทุนการผลิต-การบริหาร จัดการ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ ลดต้นทุนการผลิตแล้วกว่า 36 ล้านต่อปี ด้วยโครงการการใช้ พลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์และเชื้อเพลิงชีวมวลที่แล้วเสร็จในปีนี้ อีกทั้งโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มเติม อาทิ โครงการติดตั้งระบบ Hot Air Generator ที่โรงงานนิคมหนองแค ทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล จะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2569 ลดต้นทุนการบริหารจัดการ ด้วยการปรับลดเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) อย่างต่อเนื่อง ด้วยการควบคุมสินค้าคงคลัง และบริหารจัดการลูกหนี้ทางการค้า อีกทั้งการปรับโครงสร้าง ธุรกิจใช้ AI และระบบ Digital เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สามารถลดต้นทุนรวมได้กว่า 140 ล้านบาทต่อปี” นายนำพล กล่าว
บริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 38,787 ล้านบาท และยังคงความแข็งแกร่งทางการเงิน มีความสามารถ ในการเติบโตระยะยาว รวมทั้งยังมีการจัดการเงินทุนและการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ เน้นให้สอดคล้องกับแผน การเติบโตในอนาคต ล่าสุด บริษัทได้ร่วมมือกับ AXENT Switzerland ศึกษาความเป็นไปได้ ในการขับเคลื่อนการ เติบโตตลาดสุขภัณฑ์อัจฉริยะครบวงจร ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้ ในครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทได้ขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ไปยังต่างประเทศ และเพิ่มผู้แทน จำหน่ายเป็น 177 ราย และมียอดขายสุขภัณฑ์ในต่างประเทศ อยู่ที่ 244 ล้านบาท และสำหรับการขยายธุรกิจ สินค้าและบริการเกี่ยวเนื่องภายในไทย เพื่อต่อยอดไปสู่อาเซียนในอนาคต ใน ครึ่งปีแรกของ ปี 2568 บริษัท มียอดขายจากสินค้าและบริการเกี่ยวเนื่องกว่า 208 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปีก่อน
จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งดังกล่าว คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท (คิดเป็นเงิน 247.5 ล้านบาท) โดยกำหนดจ่ายเงินปันผล ระหว่างกาลในวันที่ 27 สิงหาคม 2568 กำหนดวันที่ XD ในวันที่ 8 สิงหาคม 2568 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปัน ผล (Record Date) วันที่ 13 สิงหาคม 2568