สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(29 กรกฎาคม 2568)--------• มูลค่าส่งออกเดือน มิ.ย. เติบโต 15.5%YoY ชะลอตัวจากเดือนก่อนที่ 18.4%YoY โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่เติบโตดี ขณะที่การส่งออกไปตลาดหลักต่างขยายตัว ด้านการนำเข้าชะลอจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ 13.1%YoY ขณะที่ดุลการค้าเกินดุล +1,061.7 ล้านดอลลาร์ฯ
• แม้การส่งออกจะขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 โดยครี่งแรกของปี 2568 เติบโต 15.0%YoY แต่ยังเป็นผลของปัจจัยชั่วคราว จากการเร่งนำเข้าเพื่อเลี่ยงผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ก่อนกลับมามีผลเต็มรูปแบบ ในวันที่ 1 ส.ค. 68 เป็นหลัก คาดว่าการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จะถูกกดดันจากหลายปัจจัยเสี่ยง ทั้งส่วนต่างภาษีศุลกากรตอบโต้ที่สูงกว่าคู่แข่ง การเก็บ Sectoral tariff ใสินค้าบางกลุ่มเพิ่มเติม ทั้งยังมีโอกาสถูกเรียกเก็บภาษีสำหรับสินค้าผ่านทาง ตลอดจนแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง
---------------
มูลค่าส่งออกเดือนมิถุนายน 2568 ขยายตัว 15.5%YoY
มูลค่าส่งออกเดือน มิ.ย. อยู่ที่ 28,649.9 ล้านดอลลาร์ฯ เติบโต 15.5%YoY ชะลอตัวจาก 18.4%YoY เมื่อเดือนก่อน โดยการส่งออกสินค้ากลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวต่อเนื่อง สำหรับการส่งออกทองคำในเดือนนี้เติบโตสูงถึง 110.2%YoY ทำให้เมื่อหักทองคำแล้วมูลค่าส่งออกเดือนนี้ขยายตัวได้ 13.4%YoY โดยมีแรงขับเคลื่อนที่สำคัญจาก
• การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 17.6%YoY ชะลอลงจาก 22.9%YoY ในเดือนก่อน โดยสินค้าสำคัญที่เติบโต ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (+57.7%) แผงวงจรไฟฟ้า (+46.2%) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (+16.4%) ผลิตภัณฑ์ยาง (23.3+%) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ)(+8.4%) เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (-15.9%) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด (-53.5%) และเคมีภัณฑ์ (-4.3%) เป็นต้น
• การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัว 13.5%YoY เร่งตัวจากเดือนก่อนที่ ขยายตัว 8.1%YoY โดยสินค้าเกษตรขยายตัว 10.7%YoY และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัว 17.4%YoY ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ 10.1%YoY ซึ่งสินค้าสำคัญที่ขยายตัวสูง ได้แก่ ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ (+124.2%) ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง (+57.0%) ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ (+35.1%) และผลไม้กระป๋อง และแปรรูป (+15.8%) เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัวในเดือนนี้ ได้แก่ ข้าว (-41.1%) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรุป (-1.5%) เป็นต้น
การส่งออกรายตลาดสำคัญ ส่วนใหญ่ยังขยายตัวจากการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นสำคัญ
• สหรัฐฯ: ขยายตัว 41.9%YoY เติบโตติดต่อกันเป็นเดือนที่ 21 โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์ และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น อุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์ และไดโอด และอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น
• จีน: ขยายตัว 23.1%YoY เติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ยางพารา ด้านสินค้าสำคัญที่หดตัว เช่นเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เป็นต้น
• ญี่ปุ่น: ขยายตัว 3.2%YoY กลับมาขยายตัวจากเดือนก่อน โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่นผลิตภัณฑ์ยาง รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น
• EU27: ขยายตัว 11.9%YoY เติบโตติดต่อกันเป็นเดือนที่ 13 โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญ ที่หดตัว เช่น เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น
• ASEAN-5: ขยายตัว 6.5%YoY กลับมาขยายตัวจากเดือนก่อน โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญ ที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เป็นต้น
• มูลค่าการนำเข้าเดือน มิ.ย. อยู่ที่ 27,588.2 ล้านดอลลาร์ฯ เติบโต 13.1%YoY ชะลอตัวจาก 18.0%YoY เมื่อเดือนก่อน การนำเข้าสินค้าหลายหมวดยังขยายตัว ทั้งสินค้าทุน (+38.2%YoY) สินค้ายานพาหนะฯ (+%YoY) สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (+7.2%YoY) สินค้าอุปโภคบริโภค (+19.8%YoY) ขณะที่การนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงหดตัว (-10.6%YoY) ทั้งนี้ ดุลการค้าเดือน มิ.ย. เกินดุล +1,061.7 ล้านดอลลาร์ฯ
Implication :
• การส่งออกในครึ่งแรกของปี 68 ที่เติบโตเป็นเลขสองหลักที่ 15.0% มาจากการเร่งซื้อจากต่างประเทศ เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ โดยมีแรงส่งหลักจากการขยายตัวของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งคิดเป็น 5.4% ของการเติบโตในมูลค่าส่งออกไทยช่วงครึ่งปีแรก (กว่า 46% เป็นการส่งออกไปสหรัฐฯ) ซึ่งเป็นสินค้าเสี่ยงถูกจัดเก็บ Sectoral tariff จากสหรัฐฯ แม้ในปัจจุบันจะยังได้รับการยกเว้น1 รวมถึงการเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาง แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ สะท้อนภาพการเร่งนำเข้าสินค้า ซึ่งอาจอ่อนแรงลงหลังมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้กลับมาใช้เต็มรูปแบบ ในวันที่ 1 ส.ค. 2568
• อย่างไรก็ดี ผลจากการเจรจากับสหรัฐฯ และส่วนต่างระหว่างอัตราภาษีไทยเทียบประเทศคู่แข่งสำคัญ จะเป็นปัจจัยกดดันการส่งออกระยะข้างหน้า หลังสหรัฐฯ ส่งจดหมายแจ้งถึงการเก็บภาษีตอบโต้ (ณ 7 ก.ค.) หลายประเทศเร่งเจรจาและบรรลุข้อตกลงในอัตราภาษีใหม่ที่ปรับลดลง
• อาทิ เวียดนาม 20% อินโดนีเซีย 19% และญี่ปุ่น 15% ในขณะที่ ไทยยังคงเร่งการเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงให้ได้ก่อนวันที่ 1 ส.ค. หากไม่สามารถสรุปผลการเจรจาได้ทัน จะมีความเสี่ยงต่อการถูกแย่งตลาด เนื่องจากมีส่วนต่างภาษีที่สูงกว่าคู่แข่ง ซึ่งจะกดดันการส่งออกในระยะถัดไป อนึ่ง ไทยยังเสี่ยงถูกเรียกเก็บภาษีอัตราพิเศษสำหรับสินค้าผ่านทาง (Transshipment) เช่นเดียวกับ อินโดนีเซีย และเวียดนาม หากพบสินค้าที่มีการสวมสิทธิ์จากประเทศอื่น
• Krungthai COMPASS คาดการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ยังเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน ทั้งอัตราภาษีตอบโต้ที่อาจสูงกว่าคู่แข่งโดยเปรียบเทียบ การเก็บ Sectoral tariff ในสินค้าบางกลุ่มเพิ่มเติม และยังมีโอกาสถูกเรียกเก็บภาษีสำหรับสินค้าผ่านทาง รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ปัจจัยเหล่านี้จะกดดันการส่งออกของไทยให้อ่อนแรงลงได้ในระยะข้างหน้า
1 สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ แผงวงจรไฟฟ้าและอุปกรณ์ ได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากรตอบโต้ ตามประกาศของทำเนียบขาว (ณ 12 เม.ย. 2568)