หุ้นไทยดูดีในสายตาต่างชาติ
TOP PICK IVL/ TASCO / GULF
EXTERNAL FACTOR
• นับถอยหลัง 3 วัน ก่อนที่มาตรการตอบโต้ จะมีผลบังคับใช้ 1 ส.ค. 68 โดยสหรัฐฯทยอยประกาศข้อตกลงทางการค้ารอบใหม่ เพื่อแลกกันการปรับลดอัตราภาษีให้กับหลายประเทศ ทั้ง UK, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, จีน, ฟิลิปปินส์, ญี่ปุ่น และล่าสุด “EU”
• อย่างไรก็ดี บ้านเราอาจยังมีความหวังว่าภาษีจะต่ำกว่า 36% หลังไทย-เขมร บรรลุข้อตกลงหยุดยิงทันทีและไม่มีเงื่อนไข โดยสหรัฐฯ มีส่วนร่วมเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยสู่สันติภาพ ซึ่ง ปธน.ทรัมป์ ได้สั่งการให้ทีมผู้แทนการค้า เริ่มต้นการเจรจาการค้าครั้งใหม่อีกครั้ง เพื่อปิดดีลข้อตกลงทางการค้ากับทั้งสองประเทศ
INTERNAL FACTOR
• 2 ส.ค.68 เตรียมมีการชุมนุมใหญ่อีกครั้ง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ลดความเชื่อมั่นของนักลงทุนและอาจมีผลทำให้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ ทั้งการบริโภค (C) การลงทุนภาคเอกชน
และภาครัฐฯ (I)
• TIMELINE การเมืองในสภา จะเห็นได้ว่า 30 ก.ค. 68 เป็นวันครบกำหนดของนายกแพทองธารที่จะยื่นคำชี้แจงต่อศาล รธน. (ขอขยายเวลารอบที่ 1) ซึ่งศาลน่าจะใช้เวลาพิจารณา 10-15 วัน ซึ่งอยู่ในช่วงก่อนวันที่ สส. พิจารณาร่าง พรบ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วาระที่ 2 – 3 พอดี ซึ่งน่าจะทำให้ TIMELINE
การจัดทำ พรบ. งบประมาณฯ ไม่น่าจะถูกเลื่อนออกไป
INVESTMENT STRATEGY
• ตลาดหุ้นไทยถือว่าน่าสนใจในมุมต่างชาติ สังเกตได้จากค่าเงินบาทอ่อนค่าน้อยกว่าค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า(WTD) แสดงว่า FUND FLOW ยังวนเวียนอยู่ในไทยไม่ได้ไปไหน หรือไหลเข้าเพิ่มด้วยซ้ำ ซึ่งปัจจัยสนับสนุนมาจาก 2 ปัจจัยกดดันที่ผ่อนคลายลง ทั้ง RECIPROCAL TARIFF ไทย-สหรัฐฯ และ ข้อพิพาทชายแดนไทยกัมพูชา จึงเห็นต่างชาติยังซื้สุทธิทั้งตลาดหุ้น 1.63 หมื่นล้านบาท (ใน 14 วันทำการ) และตลาดตราสารหนี้ 4.3พันล้านบาท (ใน 3 วันทำการ)
• กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่ได้กระแสผ่อนคลาย 2ธีม 1.CAMBODIA PLAY อาทิ CBG,OSP, OR, BDMS, BCH 2.TARRIFF PLAY อาทิ SAPPE, TU, ITC, KCE, HANA, DELTA, WHA, AMATA
SPORTLIGHT ส่องไทย ลุ้นทรัมป์ลดภาษีหรือไม่ ??
นับถอยหลัง 3 วัน ก่อนที่มาตรการตอบโต้ (RECIPROCAL TARIFF) จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. 68 โดยสหรัฐฯทยอยประกาศข้อตกลงทางการค้ารอบใหม่ เพื่อแลกกันการปรับลดอัตราภาษีให้กับหลายประเทศ ทั้งอังกฤษ,เวียดนาม, อินโดนีเซีย, จีน, ฟิลิปปินส์, ญี่ปุ่น และล่าสุด คือ “EU”โดย สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจาก EU ในอัตรา 15% (เดิม 30%) สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ รวมถึงรถยนต์ขณะที่ EU ตกลงจะจัดซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ มูลค่า 7.5 แสนล้านดอลลาร์และเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ อีก 6 แสนล้านดอลลาร์ บวกกับมีแผนสั่งซื้อยุทโธปกรณ์มูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ อีกทั้งจะไม่มีการเก็บภาษีสินค้าบางประเภทกับสหรัฐฯ
ส่วนบ้านเรา ยังต้องรอลุ้นว่าสหรัฐฯ เก็บภาษีต่ำกว่า 36% หรือไม่ ? หลังจากได้ส่งดีลรอบสุดท้ายไปแล้วเมื่อ 23 ก.ค.68 ที่ผ่านมา ทั้งนี้อัตราภาษีที่สหรัฐฯ ประกาศออกมาล่าสุด ถือเป็นระดับที่สูงสุดเป็นอันดับ 4 ของโลก และสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ประกาศช่วง เม.ย. 68 ที่อัตรา 31% และคาดการณ์เฉลี่ยรอบใหม่ที่อัตรา 20%ทำให้ไทยเสี่ยงได้รับศึกหนักกับผลกระทบที่ตามมาต่อเศรษฐกิจชะลอตัวลง และสูญเสียโอกาสทางการแข่งขันการค้าอย่างไรก็ดี บ้านเราอาจยังมีความหวังว่าภาษีจะต่ำกว่า 36% หลังไทย-เขมร บรรลุข้อตกลงหยุดยิงทันทีและไม่มีเงื่อนไข โดยสหรัฐฯ มีส่วนร่วมเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยสู่สันติภาพ ซึ่ง ปธน.ทรัมป์ ได้สั่งการให้ทีมผู้แทนการค้า เริ่มต้นการเจรจาการค้าครั้งใหม่อีกครั้ง เพื่อปิดดีลข้อตกลงทางการค้ากับทั้งสองประเทศ
ความขัดแย้งภายในประเทศ ไม่น่ากระทบ TIMELINE การจัดทำ พรบ. งบประมาณฯ
แม้สถานการณ์การเมืองไทยจะร้อนแรงจากภายนอกสภา โดย 2 ส.ค.68 เตรียมมีการชุมนุมใหญ่อีกครั้ง เพื่อเรียกร้องนายกแพทองธารแสดงความรับผิดชอบต่อความเสียหายของประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน และอาจมีผลทำให้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ ทั้งการบริโภค (C) การลงทุนภาคเอกชนและภาครัฐฯ (I) รวมถึงภาคการท่องเที่ยว ทำงานได้ต่ำกว่าศักยภาพอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามพิจารณา TIMELINE การเมืองในสภา จะเห็นได้ว่า 30 ก.ค. 68 เป็นวันครบกำหนดของนายกแพทองธารที่จะยื่นคำชี้แจงต่อศาล รธน. (ขอขยายเวลารอบที่ 1)ซึ่งศาลน่าจะใช้เวลาพิจารณา 10-15 วัน ซึ่งอยู่ในช่วงก่อนวันที่ สส. พิจารณาร่าง พรบ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วาระที่ 2 –3 พอดี ซึ่งน่าจะทำให้TIMELINE การจัดทำ พรบ. งบประมาณฯ ไม่น่าจะถูกเลื่อนออกไปดังนั้นหุ้นที่น่าจะได้รับ SENTIMENT เชิงบวก หรือผ่อนคลายจากปัจจัยดังกล่าวที่กดดันไปแล้ว อาทิ กลุ่มก่อสร้างSTECON CK กลุ่มวัสดุก่อสร้าง SCC SCCC กลุ่มค้าปลีก CPALL BJC CPAXT เป็นต้น
FUND FLOW ต่างชาติยังสนใจหุ้นไทย หลัง 2 ปัจจัยกดดันผ่อนคลายลง
ในมุมมองต่างชาติ น่าจะให้น้ำหนักเรื่องข้อพิพาทไทย-กัมพูชา กับประเด็นภาษีตอบโต้จากสหรัฐเป็นบวกมากขึ้นสะท้อนได้จากค่าเงินตั้งแต่ต้นสัปดาห์นี้(WTD) DOLLAR INDEX แข็งค่ากว่า 1.01% อยู่ที่ระดับ +98.66 จุด แต่ค่าเงินบาทกลับไม่ค่อยอ่อนค่าลง แสดงว่า FUND FLOW ยังวนเวียนอยู่ในไทยไม่ได้ไปไหน หรือไหลเข้าเพิ่มในตลาดหุ้นหรือตลาดตราสารหนี้ไทยด้วยซ้ำ ต่อเนื่องจากช่วงก่อนหน้า ที่เห็นต่างชาติยังซื้อสุทธิทั้งตลาดหุ้น 1.63 หมื่นล้านบาท (ใน14 วันทำการ) และตลาดตราสารหนี้ 4.3 พันล้านบาท (ใน 3 วันทำการ)
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้แนะนำเก็งกำไร หุ้นที่ได้กระแสผ่อนคลาย 2 ธีมหลัก ดังนี้
• CAMBODIA PLAY : CBG, OSP, OR, BDMS, BCH
• TARRIFF PLAY : SAPPE, TU, ITC, KCE, HANA, DELTA, WHA, AMATA
Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์