ภาวะตลาด : SET Index วานนี้แกว่งลง สวนทางกับตลาดหุ้นภูมิภาค เนื่องจากกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาที่รุนแรงขึ้น รวมถึงการขายทำกำไรระยะสั้น โดยเฉพาะหุ้นที่ปรับขึ้นมากในรอบนี้ แต่ก็ยังมีแรงซื้อหุ้นใหญ่ที่ช่วยพยุงตลาด เช่น GULF, AOT, SCB, KBANK, VAYU1 เป็นต้น ดัชนีปิดตลาดที่1212.49 ลดลง -7.13 จุด (-0.58%)จากกรอบในวัน 1206.19-1227.71 มูลค่าซื้อขาย 4.7 หมื่นลบ. นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อ +1.6 พันลบ. ส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิเล็กน้อย -286 ลบ.

ปัจจัยต่างประเทศ
• สหรัฐ: ดัชนีPMI ภาคผลิตและบริการก.ค.เพิ่มเป็ น 54.6 สูงสุดในรอบ 7 เดือน ส่วนยอดขายบ้านใหม่มิ.ย.เพิ่ม +0.6% m/m แต่ต่ำกว่าที่ตลาดคาด
• สหรัฐ-จีน: รมว.คลังสหรัฐระบุว่าการเจรจาการค้าเป็นไปได้ดีโดยสหรัฐเรียกร้องให้จีนหยุดซื้อน้ำมันจากรัสเซียและอิหร่าน
• สหรัฐและ EU กำลังใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงทางการค้าก่อนถึงเส้นตายในวันที่ 1 ส.ค. โดยรายงานระบุว่าอัตราภาษีฯจะอยู่ที่ 15% (จากก่อนหน้าที่ 30%)ด้าน ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวานนี้(24 ก.ค.25)
• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ mix (ดัชนีดาวโจนส์ลดลง แต่ S&P500 และ Nasdaq ทำ new high) จากรายงานผลประกอบการ สัญญาน้ำมันดิบขยับขึ้นเป็น 66-69 US$/bbl จากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง และรัสเซียจะลดการส่งออกน้ำมันเบนซิน สัญญาทองคำร่วงลงต่อ -24.10 US$ เป็น 3,373.50 US$/ออนซ์
• ดัชนีค่าเงิน US$ แข็งค่าขึ้นเป็น 97.45 ค่าเงินบาทอ่อนเป็น 32.25 บาท/ดอลลาร์ส่วน US bond yield 10 ปีเพิ่มสู่4.40% ดัชนีราคาถ่านหิน (NC) ทรงที่ 110.1 (สูงสุด 149) ดัชนีBaltic Dry Index ปรับขึ้นทำ new high ที่ 2258

ปัจจัยในประเทศ & ข่าวหุ้นเด่น
• ปัจจัยที่ยังคงมีน้ำหนักต่อตลาดมาก คือ ผลการเจรจาการค้าและภาษีฯระหว่างสหรัฐ-ไทย ซึ่งทีมไทยได้ส่งข้อเสนอสุดท้ายไปแล้วเมื่อ 23 ก.ค. คาดว่าจะรู้ผลก่อนเส้นตาย 1 ส.ค.25 และเรายังคงหวังว่าอัตราภาษีของไทยจะใกล้เคียงกับประเทศอื่นในภูมิภาค (19-20%)
• ไทย: ส่งออกเดือนมิ.ย.โต 15.5% y/y แต่ต่ำกว่าตลาดคาด แนวโน้มส่งออก 2H25ชะลอตัวลง จากผลกระทบภาษีทรัมป์-บาทแข็งกดดัน
• คาดผลประกอบการ 2Q25F ของ DELTA น่าจะอ่อนลง y/yแม้ว่ารายได้เติบโตจากยอดขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ AI และ data center ขยายตัวแกร่งแต่ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นกดดัน GPM ประกอบกับ 2Q24 เป็นฐานกำไรสุทธิสูง เพราะมีกำไร FX 379 ลบ. นอกจากนั้นอาจมีรายการค่าใช้จ่ายพิเศษ เช่น การตั้งสำรองฯกรณีถูกกล่าวหาละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีโมดูลแปลงไฟฟ้า
• ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชารุนแรงขึ้นไทยสั่งปิดด่านชายแดนทั้งหมด ยกเลิกการเดินทางของบุคคลทั่วไปผ่านชายแดน ยกเว้นเหตุจำเป็น เช่นการแพทย์ฉุกเฉิน ยุติความสัมพันธ์ทางการทูต คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรบจ.บางแห่งมาก เช่น SAV ที่มีรายได้ในกัมพูชา 100% ของรายได้รวม, CBG ที่ 15% ของรายได้รวม AEONTS ที่ 7% ของรายได้รวม, OR & SNNP, OSP & DRT & SNNP & SAPPE ที่น้อยกว่า6% ของรายได้รวม เป็นต้น

กลุยทธ์: ภาพเป็นบวกน้อยลง แต่ยังไม่ถึงกับเสียทรง ถ้าไม่หลุดแนวฟิวเตอร์ 1180 สัญญาณทางเทคนิคเป็นบวกน้อยลง หลังอ่อนตัวเมื่อวานนี้อย่างไรก็ดี การที่ดัชนียังปิดเหนือ 1200 ได้ ก็ยังนับเป็นการพักฐานหลังปรับขึ้นมาแรงในช่วงก่อนหน้า แนวรับระยะสั้นให้ไว้ที่ 1205-1200, 1190, 1180(โดย 1180 เป็นทั้งแนวรับและแนวฟิวเตอร์ที่ไม่ควรหลุด) แนวต้านอยู่ที่1220-1230, 1240-1250 ตามลำดับ

หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้: CHG – คาดกำไรสุทธิ 2Q25F เติบโต +20% y/y และ +2% q/q เป็น 231 ลบ. หนุนโดยไม่มีการกลับรายการรายได้ SSO, รายได้คนไข้ต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตะวันออกกลาง หลังจบเทศกาลถือศีลอดในเดือนมี.ค. รวมถึงร.พ.ใหม่ที่แม่สอดและ 304 มีผลดำเนินงานที่ดีขึ้น คาดกำไรสุทธิปีนี้โต +7% แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 2.20 บาท

นักวิเคราะห์&กลยุทธ์: อาภาภรณ์ แสวงพรรค : arparporns@dbs.com : Tel 02 587 7829