Pi Daily วันนี้รอติดตามการพิจารณารับผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ตลาดหุ้นไทยอาจพักฐานระยะสั้นจากการที่วิ่งแรงวานนี้ มองนักลงทุนคาดหวังเจรจาการค้าไทย - สหรัฐฯ
ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 88 จุด (+0.2%) ท่ามกลางการซื้อขายที่เป็นไปอย่างผันผวนหลังจาก Trump ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรจาก EU และ Mexico ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 1.6% นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการประกาศคว่ำบาตรประเทศที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย
เมื่อคืนที่ผ่านมา Trump ประกาศว่ารัสเซียควรจะต้องยุติสงครามในยูเครน หากไม่ยุติสหรัฐฯอาจปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากรัสเซีย ส่วนจีนเมื่อวานที่ผ่านมาได้รายงานการส่งออกประจำเดือน มิ.ย. ขยายตัว 5.8%YoY ดีกว่า Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 5%YoY ส่วนการส่งออกในสกุลเงินหยวนพบว่าขยายตัว 7.2%YoY เร่งขึ้นจากเดือนก่อนที่ 6.3%YoY ประเมินเป็นปัจจัยหนุนระยะสั้นๆต่อตลาดหุ้นไทยวานนี้ ส่วนปัจจัยในประเทศวันนี้ตลาดจะให้น้ำหนักกับการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีความสำคัญได้แก่การพิจารณาผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ หลายๆ สื่อลงความเห็นตรงกันว่าผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ได้แก่ คุณวิทัย รัตนากร ซึ่งจากประสบการณ์แล้วทำงานในสายการเงินและล่าสุดดำรงค์ตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสิน โดยมีแนวคิดต่อเศรษฐกิจไทยว่าหลายภาคส่วนต้องร่วมมือกันทั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ พร้อมกับมองว่าการลดดอกเบี้ยจะเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจ รวมไปถึงส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยนโยบายกับดอกเบี้ยเงินกู้ต้องห่างกันไม่มากนัก หากท้ายที่สุดแล้วเป็นไปตามที่หลายๆสื่อระบุไว้อาจได้เห็นการผ่อนคลายนโยบายการเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาดหุ้นและเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่อิงต้นทุนดอกเบี้ยอย่างอสังหาฯ การเงิน (ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบันจะหมดวาระในช่วงสิ้นเดือน ก.ย. 25) ปัจจัยติดตามคืนนี้ได้แก่เงินเฟ้อสหรัฐฯ (CPI) Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 2.6%YoY , 0.3%MoM และเงินเฟ้อพื้นฐานที่ 0.3%MoM วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1130 – 1150 อาจพักฐานบ้างหลังวานนี้ปรับขึ้นมาแรง (+1.98%) คาดว่าการปรับขึ้นเป็นเพราะนักลงทุนคาดหวังการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่อาจเผชิญภาษีน้อยกว่าระดับเดิม (36%) ผสานกับจีนรายงานยอดส่งออกดีกว่าคาดการณ์ แต่อย่างไรก็ตามในแง่ของมูลค่าการซื้อขายยังค่อนข้างต่ำ (3.36 หมื่นล้านบาท) สะท้อนว่านักลงทุนยังมิได้มั่นใจมากเท่าใดนัก ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนอาจเลือก Trading ระยะสั้นๆ เพราะมองว่าดัชนีปรับขึ้นมาสูงในระดับนึง (Bottom ถึงล่าสุดขึ้นมาแล้ว 7.5%) หุ้นที่น่าสนใจเก็งกำไรได้แก่การเงิน (MTC SAWAD TIDLOR) อสังหาฯ (AP SPALI) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL)
MTC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 48.00 บาท)
เผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และผลบวกจากอัตราดอกเบี้ยลดลงอาจยังไม่เห็นผลที่ชัดเจนนักใน 1H25 แต่เราคาดว่ากำไรสุทธิใน 2Q25 จะเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 1.6 พันล้านบาท (+11.7% YoY, +2.7% QoQ) เพราะรายได้ดอกเบี้ยสุทธิขยายตัวตามสินเชื่อ กอปรกับการควบคุมคุณภาพสินเชื่อ และการติดตามหนี้ที่ดีขึ้นทำให้คาดว่า NPL ratio ปรับลดลงเล็กน้อยที่ 2.65% นอกจากนี้ เรามองว่าแนวโน้มกำไรจะเพิ่มสูงขึ้นได้ต่อเนื่องใน 2H25 เราคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2025 จะเติบโตต่อเนื่อง 14%
CRC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 22.00 บาท)
Valuationน่าสนใจ ปัจจุบันซื้อขายเพียง 12xPE'25E แม้ว่าระยะสั้น เราคาดกำไรปกติงวด 2Q25 ที่ 1.59 พันล้านบาท (-2%YoY, -36%QoQ) ผลจากการลดลงของยอดขายสาขาเดิมราว 5% YoY ขณะที่แนวโน้ม SSSG ช่วง 3Q25ยังคงมีความท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจและการแข่งขัน อย่างไรก็ตามเราคาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการเราเที่ยวด้วยกัน ทำให้ SSSG ช่วง 3Q25 มีแนวโน้มดีขึ้นบ้างจาก 2Q25