วันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวขึ้นตามทิศทางตลาดต่างประเทศ โดยปรับตัวขึ้นสูงสุดราว +19 จุด มีแรงหนุนจากกรรมการเฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้อีกทั้ง Fund Flow นักลงทุนต่างชาติที่ไหลกลับเข้ามาเป็นปัจจัยหนุนเพิ่มเติม มีแรงซื้อน าโดยหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ พลังงาน และไอซีที อย่างไรก็ตามความไม่แน่นอนของสงครามการค้ายังคงเป็นปัจจัยกดดันดัชนีปรับตัวขึ้นได้อย่างจำกัด ส่งผลให้ดัชนี SET Indexปิดตลาดที่ 1,121.13 จุด +10.73 จุด +0.97% มูลค่าการซื้อขาย 32,367.57 ลบ. (ในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนี+1.19 จุด +0.11%) Program Trading +1,706.16 ลบ. ต่างชาติ +2,187.35 ลบ. TFEX -2,800 สัญญาตราสารหนี้-2,562.94 ลบ.

ปัจจัยบวก
+ สัญญาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้น 1.88 ดอลลาร์ หรือ +2.82% ปิดที่68.45 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่าตลาดน้ำมันโลกตึงตัวมากเกินคาด ขณะที่นักลงทุนจับตานโยบายภาษีของสหรัฐฯ และความเป็นไปได้ในการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม
+ อิหร่านพร้อมเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ แต่จะต้องมีการรับประกันว่าหากการเจรจาเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง จะไม่นำไปสู่สงครามที่ริเริ่มโดยสหรัฐอเมริกาหรือฝ่ายอื่น ๆ
+ รัฐบาลเผยแพร่ข้อมูลโครงการรถไฟสายสิงคโปร์-คุนหมิง (Singapore-KunmingRail Link :SKRL) ระยะทาง 5,500 กม. ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟเชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียนกับประเทศจีน และจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางและการขนส่งสินค้าในภูมิภาคให้สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น แต่ยังไม่ได้ระบุถึงรายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับการลงทุนโครงการก่อสร้างนี้
+ ความคืบหน้าโครงการรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของระยะทางรวม323.10 กิโลเมตร (กม.) มูลค่า 85,345 ล้านบาท ภาพรวมโครงการอยู่ที่ 36.473%เร็วกว่าแผน 1.868%
+/- ส.อ.ท.พร้อมเดินหน้ารวบรวมข้อมูลจาก 47 กลุ่มอุตสาหกรรมเสนอให้กระทรวงการคลังนำไปเจรจาต่อรองกับสหรรัฐรอบใหม่

ปัจจัยลบ
- ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 279.13 จุด หรือ -0.63% หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์(Meta Platforms) ถ่วงดัชนี S&P500 ลง หลังจากปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้าใช้นโยบายภาษีที่รุนแรงยิ่งขึ้นกับแคนาดา ซึ่งเพิ่มความไม่แน่นอนต่อทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
- ผู้นำบราซิลตอบโต้ต่อค าขู่ของปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่จะเก็บภาษีน าเข้าสินค้าจากบราซิล 50% โดยระบุว่าบราซิลสามารถอยู่รอดได้หากไม่มีการค้ากับสหรัฐฯ และจะมองหาคู่ค้ารายใหม่หากจำเป็น
- สหรัฐฯ ประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษี 30% ส าหรับสินค้าน าเข้าจากสหภาพยุโรป(EU) และเม็กซิโก โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.นี้เป็นต้นไป
- ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) เตือนว่าการตัดสินใจของสหรัฐฯ ที่จะเรียกเก็บภาษี 30% สำหรับสินค้าที่น าเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อห่วงโซ่อุปทานระหว่างสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก พร้อมประกาศว่า EU จะตอบโต้ด้วยมาตรการที่เหมาะสมหากจำเป็น
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ธุรกิจ SME ของไทย ซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจราว1 ใน 3 หรือประมาณ 35% ของ GDP กำลังเผชิญหลายปัจจัยกดดัน โดยเฉพาะผลของสงครามการค้ารอบใหม่ และการแข่งขันกับสินค้านำเข้า ท่ามกลางตลาดในประเทศที่เติบโตต่ำ เสี่ยงขาดทุนหรือปิดตัว
- ตลท. สรุปมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์สะสมตามกลุ่มนักลงทุนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม -11 กรกฎาคม 2568 พบว่าสถาบันในประเทศขายสุทธิ 14,315.03 ล้านบาทบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 13,033.46 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ79,620.59 ล้านบาท นักลงทุนในประเทศ ซื้อสุทธิ 106,969.08 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดวันนี้
คาดดัชนีในวันนี้ยังแกว่งตัวผันผวนระหว่างวัน โดยมีแรงกดดันจากประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ประกาศว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษี 30% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป และเม็กซิโก ซึ่งแสดงถึงความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ มองกรอบดัชนีที่ 1,115-1,125 จุด

กลยุทธ์การลงทุน
-สงครามอิหร่าน-อิสราเอล : IRPC PTT PTTEP SPRC TOP
- หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Virtual Bank : SCB ADVANC OR TRUE
- เที่ยวไทยคนละครึ่ง : AWC MINT ERW CENTEL SHR
- หุ้น Defensive : ADVANC PR9 TISCO BGRIM