Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

ฟิทช์คงอันดับเครดิต SCC ที่‘A(tha)’ แนวโน้มเครดิตเป็นลบ; และเพิกถอนอันดับเครดิต

121

 


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(4 กรกฎาคม 2568)--------บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิ รวมถึงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของโครงการหุ้นกู้ระยะกลาง (Medium-Term Note Program) มูลค่ารวมไม่เกินสามแสนล้านบาทของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ที่ ‘A(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ และประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ที่ ‘F1(tha)’ ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ได้ประกาศยกเลิกอันดับเครดิตของ SCC

 

แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบของ SCC สะท้อนถึงความเสี่ยงที่ยังคงมีอยู่จากอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ ที่อยู่ในระดับสูงในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย หรือ EBITDA net leverage ของ SCC ในปี 2568 จะยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่า 4.5 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ฟิทช์อาจพิจารณาปรับลดอันดับเครดิต เนื่องจากกระแสเงินสดจากธุรกิจเคมิคอลส์ยังคงอ่อนแออย่างต่อเนื่อง ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินจะปรับตัวดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า สู่ระดับต่ำกว่า 4.5 เท่าภายในสิ้นปี 2570 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่ลดลงและการฟื้นตัวของกระแสเงินสด อีกทั้งมาตรการลดหนี้ของ SCC เช่น การลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท PT Chandra Asri Pacific Tbk อาจช่วยให้อัตราส่วนหนี้สินลดลงได้เร็วขึ้น

 

อันดับเครดิตที่ ‘A(tha)’ สะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจหลักของบริษัทฯ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มาจากธุรกิจที่หลากหลาย และความยืดหยุ่นทางการเงินในระดับสูง

 

ฟิทช์ได้ประกาศยกเลิกอันดับเครดิตของ SCC ตามแผนพัฒนาธุรกิจของฟิทช์

 

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

 

อัตราส่วนหนี้สินอยู่ในระดับที่สูง และลดลงช้า: ฟิทช์คาดว่าการฟื้นตัวของกำไรจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป  และการลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนจะช่วยสนับสนุนให้ EBITDA net leverage ของ SCC ลดลงเหลือประมาณ 6.0 เท่าในปี 2568 และประมาณ 5 เท่าในปี 2569 (ณ สิ้นปี2567: 7.9 เท่า) บริษัทฯ กำลังจัดทำแผนกลยุทธ์ทางเลือกในการลดหนี้สิน รวมถึงการขายสินทรัพย์ โดยเมื่อไม่นานมานี้ SCC ได้ประกาศความตั้งใจที่จะลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท PT Chandra Asri Pacific Tbk ซึ่งอาจเพิ่มความยืดหยุ่นในการลดหนี้สินได้เร็วกว่าที่ฟิทช์คาดการณ์ไว้

 

การขายสินทรัพย์ดังกล่าวนี้ยังไม่ได้ถูกนำมารวมในประมาณการของฟิทช์เนื่องจากความไม่แน่นอนและความเสี่ยงในการดำเนินการ อย่างไรก็ตามอัตราส่วนกำไรต่อรายได้ที่อ่อนแอกว่าที่ฟิทช์คาดอาจทำให้การลดลงของอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯล่าช้าออกไป ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิต

 

ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังคงอยู่ในระดับต่ำ: ฟิทช์คาดว่าการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี จะยังคงอ่อนแอในปี 2568  เนื่องจากความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของความต้องการของผู้บริโภคจากประเทศจีน การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ช้าลง และสภาวะกำลังการผลิตที่เกินความต้องการ  จะยังคงกดดันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี  การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศจีนจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าในช่วงก่อนสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด อย่างน้อยจนถึงปี 2569  สงครามทางการค้าที่ น่าจะเพิ่มแรงกดดันต่ออุปสงค์ที่ยังคงอ่อนแอ ฟิทช์คาดว่ากำลังการผลิตใหม่ที่เข้าสู่ตลาดจะยังคงอยู่ในระดับสูงในปี 2568 และ 2569 แม้ว่าความเสี่ยงดังกล่าวจะถูกลดทอนบางส่วนจากการหยุดเดินเครื่องของกำลังการผลิตในอุตสาหกรรม

 

โครงการปิโตรเคมีหยุดการผลิตชั่วคราว: ฟิทช์คาดว่าโครงการ Long Son Petrochemicals (LSP) จะยังคงหยุดดำเนินการในปี 2568 เกือบทั้งปี  เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังคงอ่อนแอ ฟิทช์คาดว่า LSP จะเริ่มกลับมาดำเนินการในปี 2569 เมื่อส่วนต่างราคาดังกล่าวฟื้นตัวอยู่ในระดับที่เหมาะสม ในช่วงเวลานี้ SCC จะให้ความสำคัญกับโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนและความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบในการผลิตได้ในระยะยาว SCC ได้ประกาศแผนการลงทุนดังกล่าวนี้ ซึ่งรวมถึงการสร้างระบบการจัดการและถังเก็บรักษาวัตถุดิบก๊าซอีเทน ด้วยงบลงทุนรวมประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาทในระหว่างปี 2568-2570

 

ค่าใช้จ่ายลงทุนที่ลดลง: ฟิทช์เชื่อว่า SCC มีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน และสามารถชะลอการลงทุนขนาดใหญ่ นอกเหนือจากโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP  ในช่วงที่สภาวะตลาดยังอ่อนแอและอัตราส่วนหนี้สินยังคงสูง  ดังนั้นฟิทช์ประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่ประมาณ 3.0 หมื่นล้านบาทต่อปีในปี 2568-2570 ซึ่งลดลงจาก 5.5 หมื่นล้านในปี 2567  ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนส่วนใหญ่จะถูกใช้ในการบำรุงรักษาและการปรับปรุงประสิทธิภาพ รวมไปถึงการลงทุนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของ SCC

 

การกระจายความเสี่ยงที่ดีขึ้น: ฟิทช์คาดว่ารายได้จากนอกประเทศไทย ทั้งในส่วนของฐานการผลิตในต่างประเทศและการส่งออก จะสูงขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะเมื่อกระแสเงินสดจากโครงการ LSP เริ่มมีความมั่นคง LSP เป็นโครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกและมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนาม ซึ่งจะรองรับการเติบโตของความต้องการพอลิเมอร์ภายในประเทศซึ่งในปัจจุบันยังคงพึ่งพาจากการนำเข้าจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่  SCC มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกไปยังตลาดอื่นๆทั่วโลก นอกเหนือจากประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ที่ประมาณร้อยละ 19 ของรายได้รวมในปี 2567  โดยสัดส่วนดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากโครงการ LSP ซึ่งจะมีสัดส่วนการส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีประมาณครึ่งหนึ่งของปริมาณการขายทั้งหมด

 

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

SCC มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่า บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) (SCCC, อันดับเครดิต ‘A(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งอยู่ในธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเช่นเดียวกัน โดย SCC มีส่วนแบ่งทางการตลาดของปูนซีเมนต์ในประเทศที่สูงกว่า มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่า รวมถึงมีการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์และการกระจายความเสี่ยงของกระแสเงินสดจากหลากหลายธุรกิจกว่า อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งทางสถานะทางธุรกิจที่สูงกว่า ได้ถูกลดทอนจากอัตราส่วนหนี้สินของ SCC ที่สูงกว่า SCCC ทำให้อันดับเครดิตของ SCC และ SCCC อยู่ในระดับเดียวกัน

เมื่อเปรียบเทียบกับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC, อันดับเครดิต ‘BBB-’, ‘AA-(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ, สถานะเครดิตโดยลำพัง ‘a(tha)’) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมันครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย   SCC มีขนาดธุรกิจปิโตรเคมีที่เล็กกว่า แต่มีการกระจายความเสี่ยงในธุรกิจอื่นที่หลากหลายกว่า ซึ่งทำให้ SCC มีความเสี่ยงต่อความผันผวนของธุรกิจปิโตรเคมีที่น้อยกว่า อัตราส่วนหนี้สินของ PTTGC ปัจจุบันอยู่ในระดับเดียวกันกับ SCC จึงส่งผลให้อันดับเครดิตของ SCC อยู่ในระดับเดียวกันกับสถานะเครดิตโดยลาพังของ PTTGC

 

SCC มีอันดับเครดิตสูงกว่าสถานะเครดิตโดยลำพังของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP, อันดับเครดิต ‘A+(tha)’ แนวโน้มเครดิตเป็นลบ, สถานะเครดิตโดยลำพัง ‘a-(tha)’) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันที่มีกระบวนการกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์และเป็นรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจของ SCC ที่ดีกว่า โดย SCC มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งกว่า มีการกระจายความเสี่ยงของกระแสเงินสดจากหลากหลายธุรกิจกว่า อย่างไรก็ตาม TOP มีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความล่าช้าในการพัฒนาโครงการขยายโรงกลั่น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าในกระแสเงินสดจากโครงการและค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่เพิ่มขึ้นที่จำเป็นในการดำเนินการเพื่อให้เสร็จสมบูรณ์ ความเสี่ยงดังกล่าวนี้ได้ถูกสะท้อนใน แนวโน้มเครดิตเป็นลบของบริษัทฯ

 

สมมติฐานที่สำคัญ

สมมติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ

-              การเติบโตของรายได้คงที่ในปี 2568 และ ร้อยละ 8-10 ต่อปีในปี 2569-2570 โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากการกลับมาเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการ LSP

-              อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA Margin) ฟื้นตัวเล็กน้อยเป็นร้อยละ 7-9 ต่อปี ในปี 2568-2570 จากการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี และการฟื้นตัวของราคาขายบรรจุภัณฑ์

-              ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนประมาณ 3.0 หมื่นล้านบาทต่อปีในปี 2568-2570

-              อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) ที่ประมาณร้อยละ 40-45 ในปี 2568-2570

 

ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต

ไม่มี เนื่องจากฟิทช์ประกาศยกเลิกอันดับเครดิต

 

สภาพคล่อง

SCC มีหนี้สินที่ครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้านับจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2569 จำนวนประมาณ 1.4 แสนล้านบาท ประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 7.1 หมื่นล้านบาท เงินกู้ระยะยาวที่ครบกำหนดชำระประมาณ 9 พันล้านบาท และหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนประมาณ 5.5 หมื่นล้านบาท ฟิทช์เชื่อว่าเงินกู้ยืมระยะสั้นสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนจะสามารถเบิกเงินกู้ใหม่หมุนเวียนทดแทนเงินกู้เดิมได้ เนื่องจากบริษัทฯ มีระดับเงินทุนหมุนเวียนที่มั่นคง สภาพคล่องของ SCC ยังได้รับการสนับสนุนจากเงินสดและเงินลงทุนที่มีสภาพคล่องเทียบเท่าเงินสด (ตามการปรับปรุงตัวเลขของฟิทช์) จำนวนประมาณ 4.3 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 และความสามารถที่จะเข้าถึงตลาดตราสารหนี้ในประเทศ และแหล่งเงินกู้จากธนาคาร ในฐานะหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้