ภาวะตลาด : SET Index วานนี้แกว่งตัวในกรอบลบ-บวกในวันที่ 1103.99-1115.69 โดยปิดตลาดในระดับสูงสุดที่ 1115.69 เพิ่มขึ้น 5.68 จุด (+0.51%) นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อิเลคทรอนิกส์ ค้าปลีก (ที่ไม่ใช่วัสดุก่อสร้าง) ขณะที่มีแรงขายหุ้นกลุ่มอาหาร เช่น CPF, TFG, BTG เนื่องจากราคาหมูในประเทศอ่อนตัวลงนักลงทุนสถาบันในปท.ซื้อสุทธิ +2.38 พันลบ. ส่วนต่างชาติขายสุทธิ -680 ลบ.
ปัจจัยต่างประเทศ
• สหรัฐ: การจ้างงานภาคเอกชนเดือนมิ.ย.ลดลง 3.3 หมื่นตำแหน่ง เป็นการลดลงครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่ม 1 แสนตำแหน่ง...ติดตามตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) วันนี้ ทั้งนี้คาดว่าภาคแรงงานที่ชะลอลง จะหนุนเฟดลดดบ.เร็วขึ้นและน่าจะลด 3 ครั้งในที่เหลือของปีนี้
• สหรัฐ: วุฒิสภามีมติด้วยคะแนนฉิวเฉียด 51 ต่อ 50 ผ่านร่างกม.ปรับลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายของทรัมป์ ...ขณะเดียวกันก็กังวลว่าร่างกม.นี้จะทำให้หนี้สาธารณะสหรัฐเพิ่มขึ้นราว 3.3-3.4 ล้านล้านUS$ จากปัจจุบันที่มีหนี้สาธารณะอยู่สูงถึง 36.2 ล้านล้านUS$
• สงครามการค้า: สหรัฐบรรลุข้อตกลงการค้ากับเวียดนามแล้ว โดยเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่ 20% (จากประกาศ 46%) สำหรับประเทศไทยก็มีความหวังว่าสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าในอัตรา 10-20% จากที่ประกาศไว้ 36% หากสหรัฐเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าจากไทย 10-15% ซึ่งต่า กว่าเวียดนามก็จะเป็นข่าวดี เป็นบวกกับกลุ่มนิคมฯ (AMATA, WHA, ROJNA ฯลฯ) กลุ่มอิเลคทรอนิกส์และส่งออก แต่ถ้าอัตราภาษีเท่ากันที่ 20% ก็ on par แต่ถ้าสูงกว่า 20% ก็จะเป็นข่าวลบ โดยไทยจะเสียเปรียบเวียดนาม
• ตลาดหุ้นสหรัฐผันผวน แม้ผิดหวังตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน แต่ยังมีแรงซื้อหุ้นเทคโนโลยี ราคาน้ำมันปรับขึ้นราว +3% เป็น 67-69 US$/bbl...เป็น Sentiment บวกกับ PTTEP หลังอิหร่านระงับความร่วมมือกับ IAEA โดยระบุว่า IAEA ให้ความชอบธรรมแก่อิสราเอลโจมตีอิหร่าน ด้านสัญญาทองคาส่งมอบส.ค.เพิ่ม+9.90 US$ เป็น 3359.70 US$/ออนซ์ ด้านดัชนีค่าเงิน US$ แข็งเล็กน้อยสู่ 96.69 เงินบาทแข็งเล็กน้อยเป็น 32.3 บาท/ดอลลาร์ ด้าน US bond yield 10 ปีขยับขึ้นเป็น 4.26% ดัชนีราคาถ่านหิน (NC) เพิ่มเป็น 112.50 (สูงสุด 149) ดัชนี Baltic Dry Index ถอยลงสู่ 1443
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวหุ้นเด่น
• ดัชนีเชื่อมั่นธุรกิจเดือนมิ.ย.ดีขึ้น...แต่ภาพรวมความเชื่อมั่นธุรกิจโรงแรม-ร้านอาหาร-อสังหาริมทรัพย์-สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มใน 2Q25 ลดลง เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอตัว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน อย่างไรก็ดี คาดว่าโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งจะทำให้ความเชื่อมั่นในกลุ่มโรงแรมและร้านอาหารกระเตื้องขึ้นบ้าง ขณะที่ยอดขายที่พักอาศัยยังอ่อนแอ และสินค้าสิ่งทอเครื่องนุ่งห่มจากจีนเข้ามาแข่งขันในตลาดไทยมากขึ้น ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ความเชื่อมั่นดีขึ้นเป็นกลุ่มที่เกี่ยวกับส่งออก เช่น ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ อาหารส่งออก โดยเฉพาะอิเลคทรอนิกส์ที่ใช้ใน Data center มีแนวโน้มดีไปถึงปี 2026 หุ้นที่เกี่ยวข้องและได้อานิสงค์มาก คือ DELTA
• การเมืองไทย : รอผลตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญคดีคลิปเสียงนายกฯแพทองธารกับสมเด็จฮุนเซ็น, การพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 69 โดยในวันที่ 13-15 ส.ค.สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาร่างฯ วาระที่ 2-3 และ 25-26 ส.ค.วุฒิสภาพิจารณา, การพิจารณาและตัดสินคดีอื่นๆ ของนายกฯแพทองธาร, อดีตนายกฯทักษิณ และอีกหลายคดีของนักการเมืองรายอื่น
กลุยทธ์ : สัญญาณทางเทคนิคดีขึ้น โดยทดสอบแนวต้าน 1115 ไปแล้ว หากยืนเหนือได้ จะมีแนวต้านต่อไปที่ 1118-1120 และหากยืนเหนือ 1120 ได้อย่างมั่นคง มีลุ้นแนวต้านต่อไปที่ 1140-1150, 1160 ส่วนการอ่อนตัวมีแนวรับ 1110, 1100 และ 1090 (ที่ไม่ควรหลุด โดยถ้าหลุด 1090 จะเปลี่ยนกลับมาเป็น Sideways down)
หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้ : CPALL – คาด SSSG ของธุรกิจร้านสะดวกซื้อยังเป็นบวกได้เล็กน้อยใน 2Q25F ซึ่งดีกว่าบริษัทในกลุ่มค้าปลีกที่ส่วนใหญ่มี SSSG ติดลบ การขยายสาขายังเดินหน้าต่อเนื่องตามแผน (ปัจจุบันมีสาขากว่า 1.5 หมื่นแห่งทั่วประเทศ) บริษัทได้อานิสงค์จากมาตรการกระตุ้นการใช้ จ่ายและท่องเที่ยว “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” คาดกำไรปกติปีนี้โต 14% ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ต่า ที่ Mean-1.5SD บริษัทมีโครงการซื้อหุ้นคืน วงเงินไม่เกิน 7.5 พันล้านบาท ไม่เกิน 150 ล้านหุ้น (หรือไม่เกิน 1.67% ของจน.หุ้นเรียกชา ระแล้ว) ระยะเวลาซื้อคืน 16 พ.ค.-14 พ.ย.25 แนะนำ ซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 69 บาท
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์: อาภาภรณ์ แสวงพรรค : arparporns@dbs.com : Tel 02 587 7829