วันพุธที่ผ่านมาดัชนีเคลื่อนไหวผันผวน จากความไม่แน่นอนของการเมืองภายในประเทศ หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ รับค าร้อง สว. กรณีถอดถอนนายกฯ และสั่งให้นายกฯ หยุดปฎิบัติหน้าที่ ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนออกไป อีกทั้งนักลงทุนจับตาการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐและไทย มีแรงซื้อนำโดยหุ้นกลุ่มธนาคาร และอิเล็กทรอนิกส์ มีแรงขายนำโดยหุ้นกลุ่มขนส่ง และโรงพยาบาล ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่1,115.69 จุด +5.68 จุด +0.51% มูลค่าการซื้อขาย 34,958.34 ลบ. Program Trading -289.86 ลบ.ต่างชาติ -680.03 ลบ. TFEX -10,821 สัญญา ตราสารหนี้+231.96 ลบ.

ปัจจัยบวก
+ สัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 2 ดอลลาร์ หรือ +3.06% ปิดที่67.45 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้แรงหนุนจากข่าวอิหร่านประกาศระงับความร่วมมือกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA)รวมทั้งการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างเวียดนามและสหรัฐฯ อย่างไรก็ดีราคาน้ำมันลดช่วงบวกหลังสหรัฐฯ เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น
สวนทางคาดการณ์
+ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่าอิสราเอลตอบรับเงื่อนไขที่จำเป็นในการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเป็นเวลา 60 วัน เพื่อยุติความขัดแย้งในฉนวนกาซา พร้อมเรียกร้องให้กลุ่มฮามาสตอบรับข้อตกลงดังกล่าว
+ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ส่งสัญญาณเชิงบวกว่าการเจรจาทางการค้ากับอินเดียใกล้จะบรรลุข้อตกลง ซึ่งหากสำเร็จจะช่วยเปิดทางให้บริษัทอเมริกันเข้าสู่ตลาดอินเดียได้สะดวกขึ้น และทำให้อินเดียรอดพ้นจากอัตราภาษี 26% ที่สหรัฐฯ เคยประกาศไว้ก่อนหน้า ก่อนจะถึงเส้นตายในวันที่ 9 ก.ค.นี้
+ ฮามาสออกแถลงการณ์ระบุว่า ทางกลุ่มกำลังหารือกันเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซา

ปัจจัยลบ
- ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 10.52 จุด หรือ -0.02% หลังมีรายงานว่าตัวเลขจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ ปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า2 ปีทำให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดีดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และข่าวการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่าง
เวียดนามและสหรัฐฯ
- การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ ลดลง 33,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ปรับตัวลงครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้น 100,000 ตำแหน่ง หลังจากเพิ่มขึ้น 29,000 ต าแหน่งในเดือนพ.ค.
- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จุดประเด็นแนวคิดปรับเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นขึ้นไปอีก อาจสูงถึง 30% หรือ 35%ท่ามกลางการเจรจาการค้าสองฝ่ายที่ยังคงไร้ความคืบหน้า
- ที่ประชุมกกร.ประเมินเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังปีนี้มีแนวโน้มอ่อนแรงคาดว่าตลอดทั้งปีขยายตัวในระดับต่ าราว 1.5-2.0% โดยจะเติบโตใกล้เคียง 2.0% หากอัตราภาษีที่ประเทศไทยโดนเรียกเก็บจากสหรัฐฯยังอยู่ที่ 10% ในครึ่งปีหลัง แต่จะลดลงมาใกล้ 1.5% หากโดนเรียกเก็บที่18% หรือครึ่งหนึ่งของอัตรามาตรการภาษีนำเข้าแบบตอบโต้สหรัฐฯและไม่เห็นด้วยกับการประเมินทิศทางเศรษฐกิจของธปท. ที่มองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ถึง 2.3% เนื่องจากครึ่งปีหลังยังคงเผชิญความไม่แน่นอนสูง

แนวโน้มตลาดวันนี้
คาดดัชนีวันนี้มีโอกาสแกว่งตัวในลักษณะ Sideway ออกข้าง โดยนักลงทุนยังจับตาผลการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน มองกรอบดัชนีในวันนี้ 1,110-1,120 จุด

กลยุทธ์การลงทุน
• สงครามอิหร่าน-อิสราเอล : IRPC PTT PTTEP SPRC TOP
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Virtual Bank : SCB ADVANC OR TRUE
• เที่ยวไทยคนละครึ่ง : AWC MINT ERW CENTEL SHR