สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(2 กรกฎาคม 2568)---------ไทยพาณิชย์ ตอกย้ำความมุ่งมั่นสนับสนุนการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ตามแนวคิด “อยู่ อย่าง ยั่งยืน” (Live Sustainably) ทุบสถิติการให้สินเชื่อและการออกหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) ภายใต้วงเงินสะสมรวมกว่า 180,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 2 ปีครึ่ง (2023 – 6 เดือนแรกของปี 2025) ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 150,000 ล้านบาทในช่วง 3 ปี (2023 – 2025) สะท้อนความมุ่งมั่นในฐานะผู้นำด้านการเงินที่ร่วมขับเคลื่อนภาคธุรกิจไทยเปลี่ยนผ่านสู่แนวทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับหลัก ESG และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภายใต้กลยุทธ์ “อยู่ อย่าง ยั่งยืน” (Live Sustainably) ธนาคารได้ให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของการสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กรและเศรษฐกิจไทยในมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล สำหรับเป้าหมายในด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะการเตรียมพร้อมเศรษฐกิจและสังคมไทยกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศ (climate change) ธนาคารได้กำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ใน 3 ระยะสำคัญ ประกอบด้วย 1) การสนับสนุนลูกค้าเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้วยการให้สินเชื่อและการออกหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนภายใต้วงเงินจำนวน 150,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2023 - 2025 2) ปรับการดำเนินงานภายในองค์กรสู่ Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2030 และ 3) ตั้งเป้า Net Zero สำหรับพอร์ตสินเชื่อและการลงทุนของธนาคาร ภายในปี 2050 ทั้งนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ดำเนินการเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาโลกร้อน สะท้อนกลยุทธ์และความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัท SCBX ซึ่งเป็นสถาบันการเงินแห่งแรกและแห่งเดียวของไทยที่ผ่านการรับรองการตั้งเป้าหมาย Net Zero ภายใต้มาตรฐาน Science-Based Targets Initiative: SBTi ในช่วงปลายปีที่แล้ว โดยมาตรฐาน SBTi เป็นมาตรฐานสากลที่อยู่บนพื้นฐานหลักการวิทยาศาสตร์ที่โปร่งใส ชัดเจน และตรวจสอบได้ และได้รับการยอมรับจากองค์กรระดับโลกจำนวนมากกว่า 8,000 แห่งเข้าเป็นสมาชิก
สำหรับความสำเร็จในการเป็นผู้นำของการสนับสนุนวงเงินเพื่อความยั่งยืนให้กับลูกค้าในทุกกลุ่มในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา สะท้อนแผนการดำเนินการของธนาคารใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1) การกำหนดกลยุทธ์การลดคาร์บอนในภาคธุรกิจสำคัญ (Sectoral Decarbonization Strategies) ซึ่งระบุถึงโอกาส ความท้าทาย และแนวทางการสนับสนุนการปรับตัวของลูกค้า ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า ตั้งแต่กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ (Conglomerate & Corporate) ธุรกิจ SME จนถึงรายย่อยให้เหมาะสมกับบริบทของลูกค้าในภาคธุรกิจต่างๆ โดยในเบื้องต้น ธนาคารได้มุ่งเป้า 4 อุตสาหกรรมหลักที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่เป้าหมาย Net Zero ประกอบด้วย อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ พลังงานหมุนเวียน ยานยนต์ไฟฟ้า & ระบบนิเวศ และอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์ ซึ่งทั้ง 4 อุตสาหกรรมนี้ก็เป็น Top 4 ที่มีสัดส่วนของยอดวงเงินเพื่อความยั่งยืนของธนาคารลดหลั่นตามลำดับในช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมา 2) การออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนของลูกค้าแต่ละกลุ่ม โดยผสมผสานการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการทางการเงินของลูกค้าที่มีความหลากหลายในแต่ละภาคธุรกิจควบคู่ไปกับการสร้างแรงจูงใจทางการเงินเพื่อสนับสนุนการปรับตัวของลูกค้าในลักษณะ win-win ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ Sustainability-Linked Loan และ Sustainability-Linked Bond ที่ปรับอัตราดอกเบี้ยตามผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน เพื่อจูงใจให้ภาคธุรกิจเร่งขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจควบคู่การเปลี่ยนผ่านไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม และ 3) บทบาทการเป็นพาร์ตเนอร์ด้านความยั่งยืนที่แท้จริงให้กับลูกค้า ซึ่งมากกว่าการสนับสนุนด้านการเงิน แต่หมายรวมการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึง pain points ของลูกค้าแต่ละกลุ่มในการยกระดับด้านความยั่งยืน ทั้งนี้ ธนาคารได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจด้านต่างๆ เพื่อนำไปสู่การให้ความรู้ ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะด้าน technical solutions ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทของลูกค้า
นายกฤษณ์ กล่าวว่า ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศจะเป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาสของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ธนาคารไทยพาณิชย์มีความตั้งใจที่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินไทยเพื่อสนับสนุนการปรับตัวของทั้งลูกค้าภาคธุรกิจและลูกค้ารายย่อย เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสของการเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทยภายใต้สังคมคาร์บอนต่ำของโลกในอนาคต โดยยึดมั่นในหลัก “อยู่ อย่าง ยั่งยืน” ในการดำเนินการทั้งในระดับองค์กร ลูกค้า และสังคมไทยโดยรวม เพื่ออนาคตที่มั่นคง แข็งแรง และยั่งยืนของประเทศ