Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

270

 

การเมืองเปลี่ยน VS. SET เปลี่ยน
TOP PICK WHA / TASCO / CENTEL

 

EXTERNAL FACTOR
• วานนี้วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ลงมติผ่านร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณของ ปธน.ทรัมป์ด้วยคะแนนเสียง ฉิวเฉียด 51 ต่อ 50 โดยวุฒิสภาจะส่งร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ก่อนที่จะส่งให้ปธน.ทรัมป์ ลงนามเป็นกฎหมายภายในวันที่ 4 ก.ค.68
• ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนกังวล คือ ร่างกฎหมายดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลก่อหนี้เพิ่มขึ้น และอาจกระทบอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯให้คงดอกเบี้ยนานขึ้น จึงทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้ทั้งS&P500 และ NASDAQ -0.11% และ -0.82% ตามลำดับ

INTERNAL FACTOR
• วานนี้ ศาล รธน.เป็นเอกฉันท์รับคำร้อง สว.ปมคลิป "ฮุนเซน" พร้อมมีมติ 7 ต่อ 2 สั่งนายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตาม ประเด็นการเมืองในบ้านเรายังอยู่ท่ามกลาง
ความไม่แน่นอนสูงหลายเรื่อง เสี่ยงซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยอ่อนแอลงมากกว่าเดิม
• สำหรับในแง่มุมของตลาดหุ้น SET สะท้อนปัจจัยลบทางการเมืองมานาน 1-2 เดือนแล้ว ทำให้เกิดการ REBOUND ได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางการเมืองสูงขึ้น อาจเกิด OVERHANG ต่อตลาดหุ้น รวมถึงงบประมาณปี 2569 มีความเสี่ยงล่าช้า และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาไม่เต็มที่ ถือเป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตามในระยะถัดไป


INVESTMENT STRATEGY
• SET ยุคพรรคร่วมรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง (10 เดือน) ปรับตัวลงมา 14% ซึ่งสวนทางตลาดหุ้นโลกอย่าง MSCI ACWIINDEX ที่ปรับขึ้นถึง 13% ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ เปรียบเทียบนิติสงครามสมัยอดีตทั้งนายกฯประยุทธ์และเศรษฐา SETปรับตัวลง 39 จุด และ 86 จุด แต่หลังจากนั้น SET มักปรับตัวขึ้นเสมอ
• ยามที่ SET ย่อตัวลง แต่จำนวนหุ้นไทยกลับมี RSI ทำ OVERSOLD ลดลง แสดงให้เห็นถึง นักลงทุนมีความกลัวประเด็นต่างๆ รวมถึงประเด็นการเมืองลดลง กลยุทธ์การลงทุนแนะนำ 4 กลุ่มหุ้นน่าจะฟื้นต่อ หลังจากลงมาหนักในรัฐบาลนี้1. CAMBODIA PLAY: DOHOME, CBG 2. PROTEST PLAY : AAV, CENTEL3. TARIFF PLAY: COCOCO KCE, ITC, WHA 4. ELECTION PLAY : BEC, STECON


นักลงทุนกังวลร่างกฎหมายภาษี "ทรัมป์" จะกระทบเงินเฟ้อและภาระหนี้สูงขึ้น
วานนี้ ดัชนี S&P500 และ ดัชนี NASDAQ ปรับตัวลดลง -0.11% และ -0.82% ตามลำดับ จาก 2 ปัจจัยที่นักลงทุนกังวล โดยมีรายละเอียด ดังนี้

• ประธาน FED กล่าวว่ายังคงใช้แนวทางการรอดูและประเมินผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรที่จะมีต่อเงินเฟ้อ ก่อนที่จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย และโทษ "ภาษีทรัมป์" เป็นเหตุทำให้ FED ไม่หั่นดอกเบี้ยโดย FED WATCH TOOL ยังคงให้น้ำหนัก 79% ที่การประชุมรอบ ก.ค.68 จะคงดอกเบี้ย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งครั้งที่ประธาน FED ปฏิเสธข้อเรียกร้องของปธน.ทรัมป์
• วานนี้วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ลงมติผ่านร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หรือที่เรียกว่า “ONE BIG BEAUTIFUL BILL” (OBBBA) ด้วยคะแนนเสียง ฉิวเฉียด 51 ต่อ 50 โดยวุฒิสภาจะส่งร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ก่อนที่จะส่งให้ปธน.ทรัมป์ ลงนามเป็นกฎหมายภายในวันที่ 4 ก.ค.68 ซึ่งสาระสำคัญของร่างกฎหมายดังกล่าว มีอยู่ 4 ข้อหลักๆ คือ 1.ทำให้มาตรการลดภาษีจากยุคทรัมป์สมัยแรกมีผลถาวร 2.ลดงบประมาณด้านสาธารณสุขและสวัสดิการเพื่อชดเชยรายได้ภาษีที่หายไป 3.เพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคงและการทหาร 4.มีมาตรการกระตุ้นการออมและการลงทุนผ่านบัญชี TRUMP ACCOUNTS ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนกังวล คือ ร่างกฎหมายดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหรือทำให้รัฐบาลก่อหนี้เพิ่มกันแน่ โดย สำนักงบประมาณแห่งสภาคองเกรสสหรัฐฯ(CBO) เตือนว่าจะทำให้หนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปีดังนั้น เช้านี้เริ่มเห็นตลาดหุ้นเอเชียหลายประเทศเปิดลบ อาทิ เกากลีใต้, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน เป็นต้น ซึ่งน่าจะส่งต่อถึง SET
INDEX ให้เช้านี้อาจเปิดเป็นตลาดหมี(สีแดง)ได้


โอ๊ย !!! ศาลรับคำร้องอิ๊งค์ 
วานนี้ (1 ก.ค. 68) ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 9-0 รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย และมติ 7-2 สั่งให้ น.ส.แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมา
• เบื้องต้นประเด็นนี้เป็นการหยุดปฏิบัติหน้าที่เฉพาะตำแหน่งนายกฯ แต่ยังทำหน้าที่ รมว.วัฒนธรรม ต่อไปได้
• รองนายกรัฐมนตรี ลำดับที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะมีอำนาจเต็ม (คุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจรักษาราชการแทนนายกฯ)
• ส่วนการพิจารณาร่าง พรบ. งบประมาณปี 2569 สามารถเดินหน้าต่อได้ เนื่องจากเป็นหน้าที่ของรัฐสภา
• ศาล รธน. กำหนดให้ยื่นหลักฐานภายใน 15 วัน เพื่อประกอบการพิจารณา
ทั้งนี้การเมืองไทยยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องตามหลังจากนี้ เริ่มจากวันที่ 3 ก.ค. 68 จะมีการเปิดประชุมสภา(อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ยกเลิก) ต่อด้วยวันที่ 4 -30 ก.ค. 68 ติดตามความคืบหน้าของคดีชั้น 14 ซึ่งจะเริ่มสอบพยานปากไต่สวน รวมถึงวันที่ 16 ก.ค. 68 คาดครบกำหนดยื่นคำชี้แจงต่อศาล รธน. ปมคลิปเสียง “นายกฯ-ฮุนเซน”ซึ่งถัดจากนั้นอีก 1 เดือน ตั้งแต่กลาง ส.ค. – ต้น ก.ย. 68 จะเข้าสู่ขึ้นตอนของการพิจารณาร่าง พรบ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 โดยน่าจะเป็นช่วงคาบเกี่ยวที่ศาล รธน. จะมีคำตัดสินออกมา (คาดศาลใช้เวลาพิจารณาราว 1-3 เดือน : หากอิงตามเกณฑ์สมัยลุงตู่ 37 วัน และคุณเศรษฐา 2.5 เดือน)


นอกจากนี้ ประเด็นการเมืองในบ้านเรายังอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอนสูงหลายเรื่อง อาทิ
• ปมคลิปเสียง “นายกฯ-ฮุนเซน” รอดูผลการตรวจสอบของ ป.ป.ช. หากพบว่ามีมูล อาจแจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินการสอบสวนต่อไป (คาดเห็นความคืบหน้าในสัปดาห์นี้) รวมถึงคำตัดสินของศาล รธน. ว่าจะมีคำสั่งให้นายกฯ พันจากตำแหน่งหรือไม่
• เอพภาพของพรรคร่วมรัฐบาล ติดตามการเดินหน้าทำงานของ ครม. ชุดใหม่
• การบริหารประเทศของผู้รักษาการแทนนายกฯ จับตาการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้อง การเจรจาภาษีสหรัฐฯ รวมถึงปมชายแดนและความมั่นคง
• ศาล รธน. รอหลักฐาน "เลขาฯ กกต." ยังไม่นัดชี้ขาดคำร้อง "ภูมิธรรม-ทวี" พ้นตำแหน่ง กรณีใช้อำนาจแทรกแซงดีเอสไอ อันเป็นการกลั่นแกล้งข่มขู่ครอบงำ สว.

สำหรับผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจไทยเสี่ยงอ่อนแอลง จากวิกฤตการเมืองซ้ำเติมใน 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่
1. ความเสี่ยงต่อ FDI : ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติลังเล เสี่ยงต่อการ ชะลอหรือถอนการลงทุนในไทย
2. ความเสี่ยงด้านการคลัง : ไทยก่อหนี้สูงขึ้นนับแต่ COVID-19 หากไม่มีการปรับลดการขาดดุลและควบคุมรายจ่าย ทำให้ไทยอาจเผชิญกับ ปัญหาหนี้สาธารณะที่รุนแรงขึ้น ในระยะกลาง-ยาว ขณะที่ IMF ประเมินกรณีดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 1% จะทำให้ต้นทุนหนี้เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวภายในปี 2030


สำหรับในแง่มุมของตลาดหุ้น SET สะท้อนปัจจัยลบทางการเมืองมานาน 1-2 เดือนแล้ว ทำให้เกิดการ REBOUND ได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางการเมืองสูงขึ้น อาจเกิด OVERHANG ต่อตลาดหุ้น รวมถึงงบประมาณปี2569 มีความเสี่ยงล่าช้า และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาไม่เต็มที่ ถือเป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตามในระยะถัดไป

SET INDEX แอบดีอยู่นะ ... จากหลายปัจจัย
SET ยุคพรรคร่วมรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง (10เดือน) ปรับตัวลงมา 14% ซึ่งสวนทางตลาดหุ้นโลกอย่าง MSCI ACWI INDEXที่ปรับขึ้นถึง 13% และฝ่ายวิจัยฯ เปรียบเทียบนิติสงครามสมัยอดีตทั้งนายกฯประยุทธ์และเศรษฐา SET INDEXปรับตัวลง 39 จุด และ 86 จุด แต่หลังจากนั้น SET INDEX มักปรับตัวขึ้นเสมอ หากมีสัญญาณที่ดีทางการเมือง อาทินายกฯ สามารถกลับมาทำหน้าที่ได้ หรือ นายกฯ พ้นตำแหน่งและเตรียมเลือกนายกฯ คนใหม่ (รายละเอียด ดังหัวข้อก่อนหน้า) ซึ่งหนึ่งแรงหนุนที่ทำให้ SET กลับตัวได้คงหนีไม่พ้น FUND FLOW ต่างชาติที่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดฯไปแล้ว (สัดส่วนกว่า 50%) ซึ่งน่าจะสนใจหุ้นไทยมากขึ้นจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าล่าสุดอยู่ระดับ 32.45 บาท/เหรียญ(FX GAIN) ไม่ได้อ่อนค่าเหมือนช่วงการเมืองร้อนแรงตอนฮุนเซ็นปล่อยคลิป (กลาง มิ.ย.) และตอนมีประเด็นคดีชั้น 14(กลาง พ.ค.)


นอกจากนี้ยังเห็นสัญญาณความกลัวของนักลงทุนที่ลดลง จากสัญญาณทางเทคนิค ที่แม้ SET INDEX จะย่อตัวลงแต่จำนวนหุ้นไทยกลับมี RSI ทำ OVERSOLD ลดลง แสดงให้เห็นถึง นักลงทุนมีความกลัวประเด็นต่างๆ รวมถึงประเด็นการเมืองลดลง คล้ายๆ กับช่วงเวลาเดียวกัน 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้คาดหวังว่า SET INDEX ระยะ 2 – 3 เดือนอาจรีบาวน์ในระดับ 100 –200 จุดได้ หากปัจจัยต่างๆ ผ่อนคลายต่อเนื่อง เหมือนกับในอดีต


ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนแนะนำ 4 กลุ่มหุ้นน่าจะฟื้นต่อ หลังจากลงมาหนักในรัฐบาลนี้
1. CAMBODIA PLAY : DOHOME, GLOBAL, CBG
2. PROTEST PLAY : AAV, AOT, ERW, CENTEL
3. TARIFF PLAY : COCOCO, KCE, HANA, BGRIM, ITC, WHA, TU
4. ELECTION PLAY : BEC, STECON

 


Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้