Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

104

 

 

ภาวะการลงทุนในสัปดาห์ก่อน
ดัชนี MSCI ACWI ปรับตัวขึ้น 3.3% รับแรงหนุนจากข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ซึ่งช่วยคลายกังวลต่อความเสี่ยงในการปิดช่องแคบฮอร์มุส
ในด้านตลาดตราสารหนี้ ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 7–10 ปีขยับเพิ่มขึ้นอีก 0.8% ต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงแรงถึง 12.6% หลังสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางเริ่มคลี่คลาย ส่วนราคาทองคำอ่อนตัวลง 2.8% ในทิศทางเดียวกัน
ดัชนี SET ขยับขึ้น 1.4% ฟื้นตัวหลังจากร่วงแรงในสัปดาห์ก่อนหน้า โดยมี 16 ใน 20 กลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวเป็นบวก โดยเฉพาะหมวดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น 5.4% ตามด้วยประกันภัย 5.2% และขนส่ง 5.1%


ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรจับตาในระยะสั้น
แม้ดัชนี S&P500 จะปิดที่ระดับสูงสุดใหม่ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่มีสัญญาณเชิงลบจาก market-timing indicators หลายตัว ได้แก่ 1) ดัชนี Momentum-Tracking ไม่ได้ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ตามดัชนีหลัก, 2) McClellan Volume Summation Index ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม, และ 3) สัดส่วนหุ้นจดทะเบียนใน NYSE ที่ทำจุดสูงสุดใหม่ 52 สัปดาห์สุทธิ (net new highs) อยู่เพียง 1.6% ต่ำกว่าระดับสูงสุดที่เคยทำไว้ 2% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 และ 8.4% ในเดือนตุลาคม 2024 สะท้อนว่าการปรับขึ้นรอบก่อนหน้า (สิงหาคม-ตุลาคม 2024) มีลักษณะเป็น healthy rally มากกว่า เนื่องจากมีการกระจายตัวในวงกว้างกว่าปัจจุบัน

ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตาม

วันจันทร์: 1) CN NBS Manufacturing PMI ตลาดคาดดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมจีนเดือนมิถุนายนจะหดตัวที่ 49.7 ต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวที่ระดับ 49.5, และ 2) CN NBS Services PMI ตลาดคาดดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการจีนเดือนมิถุนายนจะขยายตัวที่ 50.3 เท่ากับเดือนก่อนหน้า
วันอังคาร: 1) US ISM Manufacturing PMI ตลาดคาดดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมสหรัฐฯ เดือนมิถุนายนจะหดตัวที่ 48.8 ต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวที่ระดับ 48.5, และ 2) US JOLTs Job Openings ตลาดคาดตัวเลขการเปิดรับสมัครงานใหม่ในสหรัฐฯ เดือนพฤษภาคมจะอยู่ที่ 7.45 ล้านตำแหน่ง ชะลอตัวลงจาก 7.39 ล้านตำแหน่งในเดือนก่อนหน้า

วันพฤหัสบดี: 1) US Nonfarm Payrolls ตลาดคาดตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนมิถุนายนจะเพิ่มขึ้น 129,000 ตำแหน่ง ชะลอตัวลงจาก 139,000 ตำแหน่ง, และ 2) US Unemployment ตลาดคาดอัตราการว่างงานสหรัฐฯ เดือนมิถุนายนจะทรงตัวที่ 4.2%, และ 3) US ISM Services PMI ตลาดคาดดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการสหรัฐฯ เดือนมิถุนายนจะขยายตัวที่ 50.3

 

แนวโน้มราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในสัปดาห์นี้
ดัชนี S&P 500 มีแนวโน้มเผชิญแรงขายทำกำไร โดยเฉพาะในช่วงปลายสัปดาห์หากตัวเลข ISM Services PMI และข้อมูลการจ้างงานออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เราจึงแนะนำให้นักลงทุนที่เน้นกลยุทธ์ระยะสั้นทยอยขายทำกำไร (sell into strength) และรอจังหวะเข้าซื้อกลับเมื่อเห็นโอกาสที่เหมาะสมในภายหลัง
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบแคบ (sideways) โดยตลาดยังคงจับตาการพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายปี 2026 ของหน่วยงานสำคัญซึ่งจะเริ่มขึ้นในเดือนนี้ พร้อมกับติดตามทิศทางตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ CPI ที่มีกำหนดประกาศในสัปดาห์หน้า

ราคาทองคำอยู่ในช่วงพักฐานระยะสั้น หลัง Momentum Tracker เริ่มอ่อนตัวลงจากโซน overbought โดยมีแนวรับสำคัญที่บริเวณ 3,100–3,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เรามองว่านี่เป็นเพียงการพักฐานในกรอบขาขึ้นระยะกลาง ซึ่งยังได้รับแรงหนุนจากการเข้าซื้อของธนาคารกลาง โดยเฉพาะจีนที่ถือครองทองคำราว 2,300 ตัน เทียบกับสหรัฐฯ ที่มีอยู่ถึง 8,130 ตัน ประกอบกับแนวโน้มความขัดแย้งระหว่างสองประเทศที่อาจยืดเยื้ออีกหลายปี ทำให้จีนมีแนวโน้มเดินหน้าสะสมทองคำต่อเนื่อง เพื่อกระจายความเสี่ยงผ่านสินทรัพย์ทางเลือกดังกล่าว


ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังอิหร่านส่งสัญญาณล่วงหน้าก่อนยิงขีปนาวุธถล่มฐานทัพสหรัฐฯ ในการ์ต้า ซึ่งตลาดตีความว่าเป็นความพยายามควบคุมไม่ให้สถานการณ์ลุกลาม ส่งผลให้ war premium ในตลาดน้ำมันปรับตัวลดลง และทำให้โครงสร้างราคาในตลาดฟิวเจอร์ส (forward curve) กลับมาเป็น partial contango ในสัญญาเดือน 9–11 อีกครั้ง


สำหรับสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ (sideways) อย่างไรก็ตาม เรายังคงเห็น upside risk ในเดือนกรกฎาคม เนื่องจากอิสราเอลยังไม่บรรลุเป้าหมายในการทำลายศักยภาพการผลิตนิวเคลียร์ของอิหร่านทั้งหมดลง อีกทั้งข้อมูลล่าสุดจากภาพถ่ายดาวเทียมของ ISW ยังบ่งชี้ว่า อิหร่านเริ่มซ่อมแซมโรงงานนิวเคลียร์บางแห่ง โดยเน้นการกลบหลุมระเบิดและฟื้นฟูโครงสร้างภายนอก ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่จุดกระแสความตึงเครียดในภูมิภาคให้ปะทุขึ้นอีกครั้ง
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยรีบาวด์เมื่อเข้าใกล้แนวรับบริเวณ 1,050 จุด สอดคล้องกับสัญญาณจาก short-term market-timing indicators ที่ได้รายงานไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม เรายังแนะนำให้นักลงทุนระมัดระวังต่อความผันผวนระยะสั้น เนื่องจากปัจจัยภายในประเทศยังไม่เอื้อต่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านพื้นฐานเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเมือง ส่งผลให้จิตวิทยาการลงทุนยังคงเปราะบาง ซึ่งสะท้อนผ่าน market breadth โดยรวมที่ยังอ่อนแรง ซึ่งอาจกดดันให้ดัชนี SET มีโอกาสปรับตัวลงต่ำกว่า 1,050 จุดในช่วงเดือนกรกฎาคม

Quant Focus List สัปดาห์นี้: Bank: BBL, KTB, SCB, ICT: ADVANC, TRUE, และ Utilities: GULF

สรุปภาพตลาดวานนี้

หุ้นลงแรงศุกร์ที่แล้ว จากทั้งการลดพอร์ต ลดเสี่ยง เลี่ยงวันหยุด โดย DELTA ADVANC GULF PTT AOT TRUE CPALL CPAXT ถูกขายนำมา และเงินกลับไปอยู่พวกกอง Infra-REIT เช่น CPNREIT AXTRART TFFIF เป็นต้น


แนวโน้มตลาดวันนี้
กลับมาโฟกัสงบการเงิน
ความเสี่ยงค่อยๆคลี่คลายสำหรับประเด็น สงคราม อิสราเอล อิหร่าน สหรัฐฯ ทำให้ตลาดหุ้นโดยรวมทั้งในและต่างประเทศ ขยับบวกขึ้นพ้นโซน Fear และหุ้นไทยยังไม่หลุด 1,000 จุด ขณะที่ประเด็นสงครามการค้า ก็ดูบรรเทาลง เมื่อ สหรัฐฯแจ้งความคืบหน้า-อาจยืดกรอบอัตราภาษีตอบโต้ 10% ออกไปให้หลังครบกำหนด 90 วัน แก่ประเทศที่ผลหารือมีแนวโน้มที่ดีต่อสหรัฐฯ

แต่การรีบาวด์ของหุ้นไทย ดูจะไม่ค่อยสอดคล้องกับตลาดหุ้นต่างประเทศเมื่อเรายังมีความเสี่ยงภายใน จากทั้งประเด็น การเมืองในประเทศ และ การเมืองระหว่างประเทศเพื่อนบ้านกัมพูชา


เราคาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ผันผวนในกรอบ 1,060-1,120 จุด อิงปัจจัยในประเทศเป็นหลัก หากผ่านพ้นช่วงความเสี่ยงการเมืองในประเทศไปได้ เช่น การชุมนุมผ่านไปอย่างสงบ และแม้จะยังเป็นปัจจัยรบกวน ที่มาเป็นระลอกแต่ไม่รุนแรง ก็น่าจะหนุนหุ้นไทยรีบาวด์สลับย่อ เช่นเดียวกับความกังวลเรื่องอายุรัฐบาล ก็จะมีอิทธิพลต่อหุ้นไทย ลักษณะเดียวกัน
และเมื่อปัจจัยทั้งในและต่างประเทศเริ่มคลี่คลาย เราคาดว่า นลท.คงกลับมาโฟกัสเรื่อง งบการเงิน บจ.สิ้นสุดไตรมาส 2 (ต่อด้วยเรื่องปันผลระหว่างกาล) ที่จะเป็นตัวช่วย จำกัดความเสี่ยงด้านล่างของตลาดหุ้นไทย หรืออาจซ้ำเติม ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับ ผลการดำเนินงาน ของแต่ละบริษัทฯ (แต่เราคาดว่าจะได้เรื่องปันผลสูงช่วยค้ำราคาหุ้นรายกลุ่ม)
โดยกลุ่มเด่นในแง่ของผลตอบแทนเงินปันผลสูง และแนวโน้มงบ 2Q25 ดี ได้แก่ หุ้นกลุ่ม ปตท. หุ้นกลุ่มเครือซีเมนต์ไทย อิงหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์
และหุ้นที่เราคาดว่ามีความเสี่ยงที่จะเห็นงบแย่กว่าคาด ได้แก่ ธนาคาร ไฟแนนซ์ ค้าปลีก ค้าวัสดุ สื่อสาร อสังหาฯ อิงตามรายงานพื้นฐานที่ BLS Research มีการทยอยปรับลดคำแนะนำ และคาดการณ์กำไรในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ส่วนกลุ่มอื่นๆ ที่ยังไม่มีการปรับลดคาดการณ์กำไร และคำแนะนำ ยังไม่ใช่ว่าจะพ้นความเสี่ยงราคาหุ้นโดนขายทำกำไร เช่น กลุ่มหมู ไก่ หุ้นส่งออก, กลุ่มท่องเที่ยว และโรงแรม เป็นต้น

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ ถือหุ้นปันผล

วิเคราะห์ทางเทคนิค
ซูมเข้าไปดูระยะประชิด SET 30 นาที กำลังก่อร่างสร้างตัว อยู่ในคลื่น Corrective wave (a-b-c) จับตาหากวันนี้ขึ้น หากไม่ผ่าน high ที่ 1,117 มีโอกาสสูงที่ดัชนีจะปรับฐานลงเข้าสู่คลื่นขาลง (wave c) แนวโน้มปิด gap ใกล้กับจุด low ที่เคยทำไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนที่ 1,065-1,070 จุด ถ้าเป็นไปตามเงื่อนไข ดัชนีอาจ test low เป็นครั้งที่ 3…ไม่หลุดจะทำให้แนวรับบริเวณ 1,050 จุด ดูแข็งแกร่งขึ้นทันที สรุป: แนวโน้มตลาดระยะสั้น เด้งก่อนแต่จะไม่ทำ high แล้วหลังจากนั้นจะปรับฐานลงมา close gap อีกครั้ง อย่างไรก็ตามจะไม่ทำ low ใหม่จะสร้างความมั่นใจโอกาสที่ดัชนีจะผ่านพ้นจุดแย่ไปแล้วนั่นเอง
ไฮไลท์: เจาะหุ้นเด่น! Theme “Trade due” / GULF close gap…. ลุ้นฟื้นได้อีกหรือไม่ ไปหาคำตอบกันครับ

 

 

What to watch
กสทช. จัดการประมูลคลื่นความถี่ (Spectrum Auction) สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล คลื่นความถี่ย่าน 850 MHz 1500 MHz 2100 MHz และ 2300 MHz โดยจะประกาศผล ภายใน 6 ก.ค.นี้
ศาลฯนัดพิจารณา รับหรือไม่รับคำร้อง ถอดถอนนายกฯ วันที่ 1 ก.ค.นี้

หุ้นแนะนำวันนี้
PTT แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2 เติบโตดี และปันผลสูง
แนวรับ 29.75 ต้าน 31.5 Stop loss 29

 

 


รายงานพื้นฐานวันนี้

Telecom Sector
สรุปประมูลคลื่น: การปรับเพิ่มกำไรระยะยาว และคำแนะนำการลงทุน
การประมูลคลื่นล่าสุดของ กสทช. จบลงด้วยการแข่งขันที่ไม่รุนแรง แต่มีเซอร์ไพรส์ที่ TRUE เลือกประมูลคคลื่น 1500MHz เพิ่ม (เดิมเราคิดว่าจะไม่มีผู้ประมูล) ขณะที่ ADVANC คว้าคลื่น 2100MHz ตามเป้า ซึ่งช่วยลดต้นทุนเช่าและหนุนการเติบโตในระยะยาว
ADVANC ได้คลื่นย่าน 2100MHz (3×10MHz) ใน ที่ราคา 1.49 หมื่นล้านบาท ตามคาด ซึ่งจะมาแทนต้นทุนเช่าคลื่นจาก NT ที่จะหมดสัญญาใน ส.ค. 2025 ทำให้เราปรับเพิ่มกำไรหลักปี 2025 ขึ้น 2% เป็น 4.1 หมื่นล้านบาท และประมาณการระยะยาวขึ้น 4-5% พร้อมปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 322 บาท (เดิม 312 บาท) และปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ”

TRUE ได้คลื่นในย่าน 2300MHz (7×10MHz) ที่ 2.18 หมื่นล้านบาท และเซอร์ไพรส์จากการประมูลในย่าน 1500MHz (4×5MHz) ที่ 4.7 พันล้านบาท ทำให้ต้นทุนลดลงจากค่าเช่าคลื่น 850/2300MHz จาก NT ที่จะหมดลงใน ส.ค. 2025 เช่นกัน เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรหลักปี 2025 ขึ้น 12% เป็น 1.63 หมื่นล้านบาท และปรับประมาณการระยะยาวขึ้น 25–30% อย่างไรก็ตาม คาดมีการลงทุน (CAPEX) เพิ่มจากการในคลื่น 1500MHz ใหม่นี้ ทำให้ FCF ต่ำกว่าคาดเดิม เราจึงปรับราคาเป้าหมาย (ซึ่งอิงจากวิธี DCF) ลงเล็กน้อยเป็น 15 บาท (เดิม 15.50 บาท) แต่คงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร”

ITC (Idea)
ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น
อัปเกรดเป็นซื้อ ปัจจัยลบเบาลง แต่พื้นฐานยังเด่น
ตั้งแต่เราแนะนำเป็น “ขาย” เมื่อ 30 เม.ย. ราคาหุ้นปรับลงแล้ว 16% มาถึงวันนี้ เราปรับคำแนะนำ ITC จาก “ขาย” เป็น “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 13.7 บาท เนื่องจากปัจจัยลบหลายประการเริ่มคลี่คลาย ขณะที่ปัจจัยบวกเริ่มชัดเจนมากขึ้น ทั้งในเชิงของกำไร ความสามารถในการควบคุมต้นทุน อีกทั้งระดับราคาหุ้นที่ถูกลงจนเริ่มมี Upside ชัดเจน

เราคาดกำไรหลัก 2Q25 อยู่ที่ 737 ล้านบาท ลดลง 34% YoY แต่ฟื้นตัว 6% QoQ โดยปริมาณขายโต 15% YoY โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งดีกว่าที่เราคาดไว้ หนุนรายได้สกุล USD โต 13% YoY (แต่รายได้เงินบาทอาจติดลบเล็กน้อย 2% YoY จากผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยน) ส่วน GM คาด 25% เพิ่มขึ้น QoQ จากปริมาณขายเพิ่ม ต้นทุนวัตถุดิบและ SG&A/sales ratio ลดลง สะท้อนการจัดการที่ดี

มองไปข้างหน้า แนวโน้ม 3Q25 เหมือนจะดูดีกว่าคาดเดิม โดยบริษัทมี Backlog สินค้าใหม่รอส่งมอบอีกราว 21 ล้าน USD (~7% ของยอดขาย 2H25) ที่เพิ่มเข้ามาจากยอดขายเดิมที่เติบโตอยู่แล้ว และต้นทุนปลาทูน่ายังลดลง QoQ ส่วนประเด็น FX คาดเทียบ YoY ผลกระทบจะน้อยกว่า 2Q25 ทำให้หนุนรายได้สกุลเงินบาทกลับมา ขณะที่ เห็น Upside จากอัตราภาษีเฉลี่ยปี 2025 ถูกปรับลดเหลือ 5% (จาก 8%)

ในแง่ Valuation ราคาหุ้นซื้อขายบน PER ที่ 11 เท่า ต่ำกว่าอดีต และปันผลสูง 9% บนราคาล่าสุด ดังนั้น
ในส่วนความกังวลประเด็นภาษีการค้า (tariff) หากนักลงทุนยังจะมองเป็นความเสี่ยงอยู่ เรามองว่าแม้อิงจากสมมติฐาน base-case เดิมที่ใช้ในการประเมิน (ตอนที่ปรับลดลง) ก็จะยังเห็นราคาเป้าหมายที่ 12.5 บาท และถือว่า มี upside จากราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ดี

 

 

สรุปประเด็นจาก Quick take

AOT
ท่าอากาศยานไทย
AOT ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมจากประกาศฯเมื่อเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมา
AOT ชี้แจงเพิ่มเติมถึงการเลื่อนชำระค่าตอบแทน จากเอกสารแจ้งตลาด ประกาศเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนAOT ชี้แจงให้นำส่วนต่างผลตอบแทน (ไม่ใช่ผลตอบแทนทั้งก้อน) ระหว่างวิธีคำนวณ Minimum Guarantee กับ Revenue Sharing ที่ 23% ของรายได้ KPD ยืดการชำระหนี้ 6-8 เดือน และคิดดอกเบี้ย
View from fundamental: เรายังคงมุมมอง ระมัดระวังต่อ AOT โดยคาดว่าหนี้ค้างชำระไม่หมุนเวียนอาจเพิ่มเป็น 12,000 ล้านบาท ภายในเดือนต.ค.ปี 2025 จาก 7,000 ล้านบาท สิ้นเดือน มี.ค. 2025 โดยมาตรการผ่อนปรนสะท้อนแรงกดดันจากโครงสร้างรายได้เชิงพาณิชย์ที่ไม่ฟื้นตัว และความเสี่ยงจากลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้น คงคำแนะนำ ขาย

 


วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ครึ่งปีแรก By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ วันนี้ ตลาดหุ้นไทย จะสีเขียวแบบไหน เข้ม อ่อน แก่ ปิดตลาด คงรู้กัน แต่บ่ายวันนี้ จับตาแรง....

LEO อัปเดตแผนธุรกิจในงาน mai FORUM 2025

LEO อัปเดตแผนธุรกิจในงาน mai FORUM 2025

มัลติมีเดีย

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้