ยังขาดปัจจัยบวก “เพื่อ(ตลาดหุ้น)ไทย”
TOP PICK ADVANC / PLANB

POLITICAL UNCERTAINTY
• คะแนนพรรคร่วมรัฐบาลปริ่มน้ำไม่ถึง 248 เสียง ทำให้งบประมาณปี 69 ที่ผ่านวาระ 1ไปแล้ว อาจติดขัด และเกิดแนวทางที่แก้ไขที่ชัดเจนขึ้น อาทิ การปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.), การเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี, การยุบสภา, การรัฐประหารเป็นต้น
• SET ในเดือนนี้ปรับตัวลง 7% ซึ่งวานนี้ปรับตัวลงแรงถึง 2.36% ซึ่งหุ้นที่ถูกกดดันหนักๆ แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ 1.กังวลนโยบายภาครัฐเปลี่ยน หรือเลื่อนออก BTS,VGI, CK, SCC 2.กังวลเขมร DOHOME, GLOBAL 3.กังวลม็อบ CENTEL, CPNเป็นต้น

POLITICAL IMPACT
• ประเด็นการเมืองไทยอ่อนไหว เสี่ยงกระทบกับเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยฯ หากการอนุมัติงบประมาณล่าช้า อาจทำให้เม็ดเงินที่จะออกมากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไปขัดสน เฉก
เช่นเดียวกับรัฐบาลยุคคุณเศรษฐาในช่วงก่อนหน้านี้ หากสถานการณ์การเมืองรุนแรงลามไปจนถึงเกิดการชุมนุมประท้วง เสี่ยงลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน บวกกับส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยขยายตัวน้อยลงในหลายองค์ประกอบ
• เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ไม่ได้เพียงแต่มีประเด็น TRADE WAR เข้ามากดดันเท่านั้น แต่การเมืองไทยที่ร้อนแรงขึ้น อาจเพิ่มความเสี่ยง DOWNSIDE ต่อ GDP ไทย

INVESTMENT STRATEGY
• ช่วง 14พ.ค. – 19 มิ.ย. 68 ประเด็นการเมืองร้อนแรง กดดันตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมากว่า -12.0% ถือว่าเป็นการปรับตัวลงแรงมากสุดในโลก อันดับ 2 คือ ตลาดหุ้นอาเจนติน่า -9.7% อันดับ 3 คือ ตลาดหุ้นซาอุฯ -8.0%ขณะที่ภาพรวมตลาดหุ้นโลก MSCI ACWI 1.7%
• ตลาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสผันผวนเป็นพิเศษ จากมูลค่าซื้อขายที่เบาบาง พร้อมกับมีการREBALANCE พอร์ตลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทยตามดัชนี FTSE SET INDEX ตลาดคาดมีเม็ดเงนไหลออกราว 1.5 หมื่นล้านบาท หากเทียบ MSCI รอบที่แล้วหลัง 4 โมงเย็มมีมูลค่าซื้อขายเร่งเข้ามา 4 หมื่นล้านบาท กดดันหุ้นตก -1.3% และยังมีควันหลงกดดัน SET INDEX วันถัดมาลงอีก -1.5% แนะนำถือเงินสดเพิ่ม 40 –50% ของพอร์ต

SET เกิด PANIC SELL จากการเมืองไทย
หลังจากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดกรณีคลิปเสียงหลุดของผู้นำทั้ง 2 ประเทศส่งผลให้เกิดความสั่นคลอนของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่หลายพรรคร่วมรัฐบาลประกาศจุดยืนที่ชัดเจนมากขึ้น โดยล่าสุดมีพรรคร่วมรัฐบาลที่ประกาศว่ายังหนุนรัฐบาลเดิม 217 เสียง ได้แก่พรรคเพื่อไทย 142 เสียง, พรรคกล้าธรรม26+5 เสียง, พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง, พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง, พรรคประชาชาติ 9 เสียง ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง แม้มีการประชุมแล้ว แต่ยังไม่มีการยืนยันมติพรรคออกมาอย่างเป็นทางการ รวมถึง 5 พรรคเล็ก อีก 8 เสียงที่ก็ยังไม่มีการแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเช่นกัน จึงทำให้เสียงของพรรคร่วมรัฐบาลล่าสุดยังไม่ถึงกึ่งหนึ่งของ สส. ทั้งหมด คือ 248 เสียงหากการเมืองในประเทศเกิด OVERHANG และยังไม่มีแนวทางที่แก้ไขชัดเจนเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ อาทิ การปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.), การเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี, การยุบสภา, การรัฐประหาร คาดทำให้งบประมาณปี 69 ที่ผ่านวาระ 1 ไปแล้วติดขัดและไม่สามารถโหวตพิจารณาวาระ 2-3 ได้ในช่วง 13-15 ส.ค.68 ทำให้เม็ดเงินที่จะออกมากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไปขัดสน เฉกเช่นเดียวกับรัฐบาลยุคคุณเศรษฐาในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งจะกดดันให้ GDPGROWTH ในปี68-69 อาจต่ำกว่าประมาณการที่หลายสำนักเศรษฐกิจคาดการณ์ไว้(รายละเอียดในหัวข้อก่อนหน้า)โดยหากถึงเวลานั้นจริง อาจจะเห็นแนวทางการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ ดังที่กล่าวไวข้างต้นส่วนอีก 1 ประเด็นที่นักลงทุนให้ความสนใจ คือ ประเด็นคดีความชั้น 14 ของคุณทักษิณ ที่ศาลฎีกาฯ นัดสอบพยานคดีชั้น 14 เพิ่ม 20 คน ในช่วง 4-30 ก.ค.68 และขยายเวลา “อธิบดีกรมราชทัณฑ์” ส่งคำชี้แจงให้ศาลภายในวันนี้ขณะที่ “ทักษิณ” ให้เวลาถึง 23 มิ.ย.68 ก่อนจะมีคำวินิจฉัยในวันนั้น

ความไม่แน่นอนทางการเมืองในหลายมิติทั้งฝั่งพรรคร่วมรัฐบาล และคดีความคุณทักษิณ กดดัน SET INDEX ในเดือนนี้ปรับตัวลงแรง 7% ซึ่งวานนี้ปรับตัวลงแรงถึง 2.36% ซึ่งกลุ่มหุ้นที่ถูกกดดันหนัก คือ MEDIA -5.99% CONS-5.79% COMM -4.31% PROP -4.14% CONMAT -4.04% PETRO -3.90% FIN -3.81% เป็นต้น ส่วนหุ้นที่ถูกกดดันแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักๆ คือ 1.กังวลนโยบายภาครัฐเปลี่ยน หรือเลื่อนออก BTS, VGI, CK, SCC 2.กังวลเขมรDOHOME, GLOBAL3.กังวลม็อบ CENTEL, CPN เป็นต้น

เศรษฐกิจไทยในปีนี้มีความเสี่ยงมากขึ้น ที่จะเข้าสู่ภาวะ TECHNICAL RECESSION หรือไม่ ?ประเด็นการเมืองไทยอ่อนไหว เสี่ยงกระทบกับเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยฯ หากการอนุมัติงบประมาณล่าช้า อาจทำให้เม็ดเงินที่จะออกมากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไปขัดสน เฉกเช่นเดียวกับรัฐบาลยุคคุณเศรษฐาในช่วงก่อนหน้านี้ โดยบ้านเราใช้งบประมาณไปพรางก่อนนานถึง 8 เดือน กดดันการลงทุนภาครัฐหดตัวหนักราว -4.2%YOY ถึง-28%YOY (ยิ่งการใช้งบประมาณล่าช้านานขึ้น ก็ยิ่งกดดันการลงทุนภาครัฐแรง)

นอกจากนี้ หากสถานการณ์การเมืองรุนแรง ลามไปจนถึงเกิดการชุมนุมประท้วง เสี่ยงลดความเชื่อมั่นของนักลงทุนบวกกับส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยขยายตัวน้อยลงในหลายองค์ประกอบ ทั้งการบริโภค (C) การลงทุนภาคเอกชนและภาครัฐฯ (I) รวมถึงภาคการท่องเที่ยว

เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ไม่ได้เพียงแต่มีประเด็น TRADE WAR เข้ามากดดันเท่านั้น แต่การเมืองไทยที่ร้อนแรงขึ้น อาจเพิ่มความเสี่ยง DOWNSIDE ต่อ GDP GROWTH ของไทย ขยายต่ำกว่าสำนักเศรษฐกิจต่างๆคาดการณ์ไว้เฉลี่ย 1.6%

ในมุมของ BLOOMBERG ประเมินเศรษฐกิจไทยว่าจะโต +2.0%YOY และเมื่อเทียบรายไตรมาส มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะไม่ขยายตัวเลยใน 3Q68 ทั้งนี้ หากเสถียรภาพการเมืองไทยยังอ่อนแอ จนสถานการณ์แย่ลง อาจเป็นปัจจัยเข้ามากดดันเพิ่มขึ้นต่อเศรษฐกิจใน 2H68 ซึ่งอาจทำให้ GDP ติดลบต่อกัน 2 ไตรมาส เข้าสู่ภาวะ TECHNICAL RECESSION ในที่สุด

SET UNDERPERFORM สุดในโลก พร้อมผันผวนจาก FTSE ต่อวันนี้
ช่วง 14พ.ค. – 19 มิ.ย. 68 ประเด็นการเมืองร้อนแรง กดดันตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมากว่า -12.0% ถือว่าเป็นการปรับตัวลงแรงมากสุดในโลก อันดับ 2 คือ ตลาดหุ้นอาเจนติน่า -9.7% อันดับ 3 คือ ตลาดหุ้นซาอุฯ -8.0% ขณะที่ภาพรวมตลาดหุ้นโลก MSCI ACWI 1.7%

ตลาดหุ้นไทยที่ UNDERPERFORM วันนี้มีโอกาสผันผวนเป็นพิเศษ จากมูลค่าซื้อขายที่เบาบาง พร้อมกับมีการREBALANCE พอร์ตลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทยตามดัชนี FTSE SET INDEX ตลาดคาดมีเม็ดเงนไหลออกราว 1.5หมื่นล้านบาท หากเทียบ MSCI รอบที่แล้วหลัง 4 โมงเย็มมีมูลค่าซื้อขายเร่งเข้ามา 4 หมื่นล้านบาท กดดันหุ้นตก -1.3% และยังมีควันหลงกดดัน SET INDEX วันถัดมาลงอีก -1.5% แนะนำถือเงินสดเพิ่ม 40 –50% ของพอร์ต

Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์