Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

'เวฟ บีซีจี' ผนึก 'พีทีจี เอ็นเนอยี' พลิกนาข้าวลดภาวะโลกร้อน ร่วมพัฒนาเกษตรกรไทย ส่งเสริมโครงการ "ปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง" บนที่นา 500 ไร่ จ.สุพรรณบุรี

147

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (11 มิถุนายน 2568 )-----บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด (WAVE BCG) ผู้ให้บริการ Climate Solution ครบวงจร เดินหน้าโครงการ Climate พัฒนา "การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง" นวัตกรรมการเกษตรยุคใหม่บนที่นากว่า 3,300 ไร่  มุ่งลดการปล่อยก๊าซมีเทนซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจก ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน รวมถึงช่วยเพิ่มผลผลิต นำร่องความร่วมมือกับ  'บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี' เปิดโครงการ "ข้าวยั่งยืน ลดมีเทน ด้วยนาเปียกสลับแห้ง" ผนึกกำลังกลุ่มเกษตรกร จ.สุพรรณบุรี สู่การทำเกษตรกรรมคาร์บอนต่ำบนที่นา 500 ไร่ พร้อมยกระดับข้าวไทยสู่มาตรฐานการผลิตอย่างยั่งยืนระดับโลก และนำองค์กรบรรลุเป้าหมายลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
 นายกรกช สงวนปิยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด (WAVE BCG) ผู้ให้บริการ Climate Solution ครบวงจร ในเครือบริษัท เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด (มหาชน) หรือ (WAVE) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นก้าวสู่ผู้นำด้านคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย  แผนธุรกิจปี 2568 จึงเดินหน้าโครงการ "Climate Project" เพื่อจัดหาและพัฒนา รวมถึงบริหารจัดการโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Reduction Project) หลากหลายรูปแบบ โดยนำร่องโครงการกับภาคเกษตรกรรม ด้วยการพัฒนานวัตกรรมแห่งการเกษตรยุคใหม่ "ปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง" (Alternate Wetting and Drying: AWD) โดยจะส่งเสริมการปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกข้าวให้กับเกษตรกรไทยใน จ.สุพรรณบุรี และปทุมธานี บนที่นากว่า 3,300 ไร่ มุ่งลดปล่อยก๊าซมีเทนซึ่งเป็นหนึ่งก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เพื่อขับเคลื่อนสู่การทำเกษตรกรรมคาร์บอนต่ำและ Net Zero ในที่สุด อีกทั้งสนับสนุนองค์กรต่างๆ บรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อร่วมลดภาวะโลกร้อน
ล่าสุดบริษัทฯ ร่วมกับบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG  ผู้ให้บริการสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้แบรนด์ PT Station รวมถึงดำเนินธุรกิจ Non-Oil อื่น ๆ ของกลุ่มบริษัท ได้เดินหน้าโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง ภายใต้โครงการ "ข้าวยั่งยืน ลดมีเทน ด้วยนาเปียกสลับแห้ง" กับกลุ่มเกษตรกร จ.สุพรรณบุรี บนที่นา 500 ไร่ ซึ่งจะมุ่งสร้างเสริมความรู้เกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในนาข้าว และถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกข้าวคาร์บอนต่ำที่เหมาะกับพื้นที่เขตชลประทานของจ.สุพรรณบุรีให้กับเกษตรกร  ซึ่งก่อนเริ่มโครงการจะอบรมให้ความรู้เกษตรกรเกี่ยวกับการทำนาเปียกสลับแห้ง (AWD) รวมถึงแนะนำการใช้แอปพลิเคชันสำหรับติดตามผลเริ่มต้น และเริ่มฤดูเพาะปลูก รวมถึงเก็บข้อมูลและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
และในปีที่ 3 จึงดำเนินการติดตามผลและรวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้วขอรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิต โดยโครงการ "ข้าวยั่งยืน ลดมีเทน ด้วยนาเปียกสลับแห้ง" กับกลุ่มเกษตรกร จ.สุพรรณบุรี นับว่าเป็นโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) มาตรฐานขั้นสูง ที่ได้ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมและการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นหรือทำประชาพิจารณ์ทั้งภาครัฐและภาคประชาชนจากผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2568 ณ วัดเนินมหาเชษฐ์ ต.หนองสะเดา อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี
นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG กล่าวว่า บริษัทฯ ตระหนักถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีความมุ่งมั่นสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทย จากความร่วมมือเวฟ บีซีจีในครั้งนี้จะเป็นก้าวที่สำคัญของการผนึกกำลังทุกภาคส่วน ทั้งเกษตรกร หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง พร้อมสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกรผ่านโครงการคาร์บอนเครดิต ทั้งยังลดการใช้น้ำในกระบวนการปลูกข้าว ทำให้เกิดการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้การเข้ามาสนับสนุนโครงการ "ข้าวยั่งยืน ลดมีเทน ด้วยนาเปียกสลับแห้ง" ของ PTG ยังช่วยเสริมสร้างโอกาสทางธุรกิจและส่งเสริมการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้กรอบ ESG และสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยในการลดก๊าซเรือนกระจกและการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
นายกรกช กล่าวต่อว่า บริษัทฯ เดินหน้าส่งเสริมการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง (AWD) ให้กับเกษตรกร ที่นากว่า 3,300 ไร่ โดยสนับสนุนเทคโนโลยีการใช้โดรนเพื่อการเกษตรและให้ความรู้การปรับเปลี่ยนวิธีการทำนา เริ่มตั้งแต่เทคนิคการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง เพื่อพัฒนาสู่การขอรับรองคาร์บอนเครดิต โดยการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้งควรปล่อยให้นามีดินแห้งเป็นระยะ จะช่วยลดการเกิดกระบวนการย่อยสลายแบบไร้ออกซิเจน ทำให้การปล่อยก๊าซมีเทน (CH4)  ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกประเภทหนึ่งลดลง ซึ่งก๊าซมีเทนทำให้เกิดภาวะโลกร้อนสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) 25-28 เท่า เมื่อเทียบกับการทำนาน้ำขังแบบปกติ อีกทั้งวิธีการปลูกข้าวดังกล่าวยังช่วยเพิ่มผลผลิต เนื่องจากจะกระตุ้นให้รากของต้นข้าวเจริญเติบโตได้ดี หาอาหารในดินลึกขึ้น ทำให้ระบบรากแข็งแรงและยาวทนทานต่อโรค
สำหรับแนวโน้มการซื้อและขายคาร์บอนเครดิตจากภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง ได้รับความนิยมในต่างประเทศมากขึ้นและในประเทศไทยเริ่มขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น ซึ่งภาคการเกษตรนับเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases: GHG) เป็นอันดับ 2 รองจากภาคพลังงานและครึ่งหนึ่งจากภาคการเกษตรมาจากพื้นที่ข้าวในประเทศไทย  โดยการทำนาในรูปแบบดังกล่าว มีบทบาทสำคัญช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นแนวทางที่สำคัญในการพัฒนาภาคเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน และสนับสนุนให้องค์กรมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน สอดรับกับมาตรการภาคบังคับที่ภาคธุรกิจต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้ประเทศไทยมีศักยภาพในการขยายพื้นที่การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง จากตัวเลขปี 2566 มีพื้นที่ปลูกข้าวอยู่ที่ 61.9 ล้านไร่ แบ่งเป็น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 62% ภาคเหนือ 16.4% ภาคกลาง 12.6% และภาคใต้ 9% (อ้างอิงข้อมูล สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) ในจำนวนดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพทำนาเปียกสลับแห้งถึง 10.6 ล้านไร่ จึงเป็นโอกาสสำคัญการใช้พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับเพาะปลูกเพื่อพัฒนาสู่การทำคาร์บอนเครดิต ซึ่งการเปลี่ยนวิธีปลูกข้าวเป็นแบบเปียกสลับแห้ง 1 ไร่ คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 0.3-0.4 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
นายกรกช กล่าวว่า บริษัทฯ วางแผนพัฒนาโครงการอื่นๆ เพื่อการพัฒนาคาร์บอนเครดิต ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมในอนาคต  เช่น การดูดซับก๊าซเรือนกระจกด้วยการปลูกต้นไม้ โครงการเปลี่ยนยานยนต์สันดาปเป็นยานยนต์ไฟฟ้า และโครงการลดก๊าซเรือนกระจกจากจัดการขยะมูลฝอย ซึ่งบริษัทฯ พร้อมเป็นตัวกลางเชื่อมโยงทุกภาคส่วนเพื่อพัฒนาสู่การได้รับคาร์บอนเครดิต เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางคาร์บอนที่ตั้งเป้าในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์  (Net Zero) ในปี 2065 รวมทั้งร่วมยกระดับภาคเกษตรกรรมไทย เพื่อพัฒนาข้าวที่มีคุณภาพมีความยั่งยืนของการผลิต ก้าวสู่มาตรฐานการ TAS 9000 การผลิตข้าวอย่างยั่งยืนของสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และระดับโลก (Sustainable Rice Platform: SRP) ตลอดจนยังเป็นการสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกรด้วยการขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งจะเป็นการร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร และสิ่งแวดล้อมเติบโตอย่างยั่งยืน

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

NTFG ให้การต้อนรับ LEO พร้อมหารือโอกาสทางธุรกิจ

NTFG ให้การต้อนรับ LEO พร้อมหารือโอกาสทางธุรกิจ

ลงดีกว่า By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เห็นหุ้นไทย เช้าวันนี้ เมื่อไปต่อไม่ได้ ก็ลงดีกว่า ลงแบบ เบาๆ บนไร้เงินใหม่ มากระตุ้น .....

มัลติมีเดีย

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้