SET ไร้ VOLUME ไร้ทิศทาง
TOP PICK PLANB / DELTA / BTG

EXTERNAL FACTOR

• ปัจจัยแวดล้อมยังให้น้ำหนักของการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยวานนี้เริ่มต้นขึ้นที่กรุงลอนดอน แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป และจะดำเนินต่อในวันนี้
• ผลกระทบของความไม่แน่นสงครามการค้ากับสหรัฐฯ สะเทือนมาถึงเศรษฐกิจจีนกดดัน DEMAND ในประเทศอ่อนแอ จนทำให้จีนเข้าสู่ภาวะเงินฝืดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4
• อย่างไรก็ตามน่าจะหนุนให้รัฐบาลจีนกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ขณะที่เช้านี้BLOOMBERG รายงานว่าจีนใช้กองทุน 1.5 ล้านล้านเหรียญฯ เพื่อกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัย ฝ่ายวิจัยฯ คาดว่าจะเป็นเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่ม CHINA PLAY

INTERNAL FACTOR
• ตัวเลขเงินเฟ้อไทยเดือน พ.ค.68 ล่าสุดออกมา -0.57% ติดลบต่อเนื่องจากเดือนก่อน(เม.ย.68) จึงทำให้นีกลงทุนกังวลว่าจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดหรือไม่ จะเห็นได้ว่า แม้ดัชนี CPIINDEX จะลดลง แต่ CORE CPI INDEX ยังฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่อง ซึ่งบ่งบอกถึงภาวะเศรษฐกิจที่ยังดีอยู่และไม่จำเป็นที่จะต้องเพิ่งการลดดอกเบี้ยของ กนง. มากนัก
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ KBANK, SCB,BBL, TISCO / กลุ่มประกัน BLA TIPH / กลุ่มที่มีต้นทุน หรือหนี้สินสกุลเงินต่างประเทศ GULF, BGRIM, EGCO, PTT, PTTGC

INVESTMENT STRATEGY
• SET ไร้ VOLUME ไร้ทิศทาง โดยวานนี้มูลค่าซื้อขายเหลือ 2.4 หมื่นล้านบาทเท่านั้น จากการรอความชัดเจนเรื่องประเด็นการเมืองในประเทศ การลงทุนในช่วงนี้คงต้องเน้น TRADING หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวเป็นหลัก
• ส่วนวันนี้มีประเด็น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศ ปรับเกณฑ์ให้ HIGH-FREQUENCY TRADING (HFT)สามารถซื้อได้เฉพาะหุ้นใน SET100 ตั้งแต่ 7 ก.ค. เป็นต้นไป ประเด็นนี้หนุนให้หุ้นขนาดเล็ก อย่าง SSET หรือMAI ที่ UNDERPERFORM มาตลอด มีโอกาสผันผวนน้อยลง ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการค้นหาหุ้นนอกSET100 ที่มักมี PROGRAM TRADE เข้ามาซื้อขายคึกคัก และบางครั้งก็กดดันราคา มีโอกาสฟื้นขึ้นมาได้ อาทิCPAXT, STECON, PTG, PSL, THCOM, TKN เป็นต้น

WAIT & SEE ผลเจรจาทางการค้าและแรงกระแทกต่อเศรษฐกิจ
ปัจจัยแวดล้อมยังให้น้ำหนักของการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยวานนี้เริ่มต้นขึ้นที่กรุงลอนดอน ซึ่งใช้เวลานานกว่า 6 ชั่วโมง แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป และจะดำเนินต่อในวันนี้ สำหรับประเด็นหลักในการเจรจา:
• สหรัฐฯ แสดงความพร้อมที่จะยกเลิกข้อจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีบางรายการ เช่น ซอฟต์แวร์ออกแบบชิป, ชิ้นส่วนเครื่องยนต์เจ็ต, สารเคมี เป็นต้น
• แลกกับการที่จีนจะผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกแร่หายาก ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตสินค้า HIGH TECHของสหรัฐฯ เช่น สมาร์ตโฟน, เครื่องบินรบ เป็นต้น

ขณะที่ผลกระทบของความไม่แน่นสงครามการค้ากับสหรัฐฯ สะเทือนมาถึงเศรษฐกิจจีน กดดัน DEMAND
ภายในประเทศอ่อนแอ จนทำให้จีนเข้าสู่ภาวะเงินฝืดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4โดยในเดือน พ.ค. 68 ดัชนี CPI จีน หดตัว –0.1%YOY ส่วนดัชนี PPI จีนติดลบ -3.3%YOY ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 32 และลดลงมากที่สุดในรอบเกือบ 2 ปีอย่างไรก็ตามน่าจะหนุนให้รัฐบาลจีนกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ขณะที่เช้านี้ BLOOMBERG รายงานว่าจีนใช้กองทุน1.5 ล้านล้านเหรียญฯ เพื่อกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัย โดยเสนอทางเลือกในการกู้ซื้อบ้านที่ถูกกว่าการกู้จากธนาคารซึ่ง PBOC เพิ่งลดดอกเบี้ยเงินกู้จากกองทุนลงอีก 0.9%ฝ่ายวิจัยฯ คาดว่าประเด็นความคาดหวังเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว น่าจะเป็น SENTIMMENT เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่ม CHINA PLAY อาทิ SCC, SCGP, PTTEP, PTTGC, IVL เป็นต้น

ไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดหรือไม่ ส่วนสัปดาห์นี้ HIGHTLIGHT คือ การเมือง
ตัวเลขส่งออก-นำเข้า ของจีนออกมาต่ำคาด ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะในส่วนไทย จะเห็นได้ว่าเดือน พ.ค.68 จีนส่งออกมาไทย +21.8%YOY เท่านั้น(ลดลงจากเดือนก่อนหน้าจาก +29%)ซึ่งอาจทำให้คลายความกังวลสินค้าจีนทะลักเข้าไทยได้บางส่วน ขณะที่ในมุมจีนนำเข้าสินค้าของไทย ก็ลดลงเช่นกันเหลือ +1.43%(ลดลงจากเดือนก่อนหน้าจาก+28%) ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่กดดันเศรษฐกิจไทยในปี้ ซึ่งต้องติดตาม TRADE WAR 2.0 อย่างใกล้ชิด

ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อไทยเดือน พ.ค.68 ล่าสุดออกมา -0.57% ติดลบต่อเนื่องจากเดือนก่อน (เม.ย.68) ซึ่งอยู่ที่ -0.22% จึงทำให้นีกลงทุนกังวลว่าขะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดหรือไม่ โดยฝ่ายวิจัยฯได้นำ CPI / COR CPI INDEX มาเปรียบเทียบกับราคาน้ำมันดิบ จะเห็นได้ว่า แม้ดัชนี CPI INDEX จะลดลงส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงแรงตั้งแต่ต้นปี อย่างไรก็ตาม CORE CPI INDEX หรือดัชนีที่ไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ยังฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่อง ซึ่งบ่งบอกถึงภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ยังดีอยู่และไม่จำเป็นที่จะต้องเพิ่งการลดดอกเบี้ยของ กนง. มากนักดังนั้น หุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์KBANK, SCB, BBL, TISCO / กลุ่มประกันBLA TIPH / กลุ่มที่มีต้นทุน หรือหนี้สินสกุลเงินต่างประเทศ GULF, BGRIM, EGCO, PTT, PTTGC

อย่างไรก็ตามประเด็นการเมืองไทยในสภาฯดูร้อนแรงขึ้นในเดือนนี้ จากหลายปัจจัย ดังนี้ 1.วันที่ 13 มิ.ย. 68 ศาลฎีกาสั่งไต่สวนปมบังคับโทษ 'ทักษิณ‘ ผิดขั้นตอนทางกฎหมาย และต้องกลับไปรับโทษที่เหลืออยู่หรือไม่ 2.จับตากระแสการปรับ ครม. ของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งอาจเสร็จสิ้นภายในต้น มิ.ย.68ซึ่งล่าสุดมีกระแสจากสส.พรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอนายกฯปรับครม.ทุกตำแหน่ง ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม โดยหากการเมืองไทยถึงทางตัน อาจเกิดการยุบสภา และโหวตนายกฯใหม่ได้ ซึ่งจะทำให้TIMELINE กรอบงบประมาณปี 2569 ต้องสะดุดและล่าช้าออกไปเฉกเช่นเดียวกับยุครัฐบาลคุณ เศรษฐา

ปัจจัยแวดล้อมดูผ่อนคลายขึ้น
SET ไร้ VOLUME ไร้ทิศทาง โดยวานนี้มูลค่าซื้อขายเหลือ 2.4 หมื่นล้านบาทเท่านั้น จากการรอความชัดเจนเรื่องประเด็นการเมืองในประเทศ การลงทุนในช่วงนี้คงต้องเน้น TRADING หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวเป็นหลัก

ส่วนวันนี้มีประเด็น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศ ปรับเกณฑ์ให้ HIGH-FREQUENCY TRADING (HFT) สามารถซื้อได้เฉพาะหุ้นใน SET100 ตั้งแต่ 7 ก.ค. เป็นต้นไป ประเด็นนี้หนุนให้หุ้นขนาดเล็ก อย่าง SSET หรือ MAI ที่UNDERPERFORM มาตลอด มีโอกาสกลับมาคึกคักขึ้น

ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการค้นหาหุ้นนอก SET100 ที่มักมี PROGRAM TRADE เข้ามาซื้อขายคึกคัก และบางครั้งก็กดดันราคาในปีนี้ ทั้งหมด 97 บริษัท (ดังตารางทางด้านล่าง) เชื่อว่าหุ้นดังกล่าวมีโอกาสฟื้นขึ้นมาได้ แนะนำTRADING หุ้น CPAXT, STECON, PTG, PSL, THCOM, TKN เป็นต้น

Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์