สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 10 มิถุนายน 2568 )----- InnovestX บริษัทหลักทรัพย์ในกลุ่ม SCBX ออกบทวิเคราะห์ประจำวันที่ 10 มิถุนายน 2568 คาดตลาดซึมลง แกว่งตัวไซด์เวย์ หลังการรีบาวด์ทำจุดสูงสุดไม่ผ่าน 1145 ทำจุดสูงสุดที่ 1144 ก่อนกลับมาอ่อนตัวลง ประเมินการปรับตัวขึ้นยังคงจำกัดที่แนวต้าน 1145/1150 และการอ่อนตัวลงยังมีแนวรับที่ 1127/1120 หากหลุดต่ำกว่าจะแกว่งตัวลงรอบใหม่ เชิงปัจจัยตลาดยังขาดปัจจัยใหม่ๆสนับสนุน และที่ผ่านมาตลาดไม่ตอบสนองต่อข่าวบวกนัก

ประเด็นสำคัญ
• ปลัดคลังเผยในวันนี้จะมีการประชุมอนุฯ โครงการนโยบายกระตุ้น ศก. 1.57 แสนลบ. เพื่อพิจารณาโครงการที่เหมาสมสำหรับ 4 เป้าหมาย โครงสร้างพื้นฐาน, ท่องเที่ยว, ลดผลกระทบส่งออก/เพิ่มผลิตภาพ และด้าน ศก. ชุมชน หากได้ข้อสรุป จะนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ในสัปดาห์หน้าเพื่อให้ทยอยอนุมัติโครงการ
• เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 ชงครม.วันนี้ เริ่มโครงการ 1 ก.ค. กำหนดจำนวนสิทธิไว้ที่ 5 แสนสิทธิจากเดิม 1 ล้านสิทธิ ถูกเกลี่ยไปใช้กับโครงการกระตุ้นตลาดต่างประเทศแทน
• ตลท. ปรับปรุงหลักเกณฑ์กำหนดให้ผู้ลงทุนแบบ HFT ซื้อหลักทรัพย์ได้เฉพาะหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง เช่น SET100, หลักทรัพย์ NVDR, DW, DR และ ETF เพื่อลดความผันผวนของหลักทรัพย์ขนาดกลางและเล็กและไม่มีสภาพคล่อง
• รมว. คมนาคมเสนอขอรับการจัดสรรงบจากโครงการนโนบายกระตุ้น ศก. 1.57 แสนลบ. วงเงินรวม 5.67 หมื่นลบ. สำหรับ 6 หน่วยงานเพื่อเดินหน้าโครงการถนน-ระบบรางต่างๆ
• ศุลกากรจีนเผยมูลค่าส่งออกใน พ.ค. 2568 เพิ่มขึ้น 4.8%YoY ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ โดยเฉพาะการส่งออกสู่สหรัฐฯ ที่ลดลงมากถึง 34.5%YoY ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ ก.พ. 2563 ส่วนมูลค่านำเข้าหดตัว 3.4%YoY หดตัวมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ สะท้อนอุปสงค์ภายในประเทศจีนที่อ่อนแอลง
• สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเผยภาวะเงินเฟ้อผ่าน CPI ใน พ.ค. 2568 หดตัว 0.1%YoY เป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่สี่ สะท้อนว่ามาตรการกระตุ้น ศก. ของรัฐบาลจีนยังไม่สามารถทำให้การอุปโภคบริโภคฟื้นตัวได้ ส่วน PPI ใน พ.ค. หดตัว 3.3%YoY เป็นการปรับลงต่อเนื่องนับตั้งแต่ ต.ค. 2565

กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET แกว่งตัว Sideways เนื่องจากยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามจากข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีน อินเดีย และญี่ปุ่น ความไม่แน่นอนการเมืองไทย (การปรับ ครม.) และผลกระทบของ DELTA จากเกณฑ์คำนวณใหม่ของ ตลท. ที่จำกัดน้ำหนักหุ้นรายตัวใน SET50/SET100 ซึ่งจะเริ่มวันที่ 1 ก.ค. นี้ อย่างไรก็ดี วันที่ 10 มิ.ย. อาจมีความคืบหน้าพิจารณาโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568” ซึ่งแม้มองส่งผลบวกต่อ SET ไม่มากนัก แต่เชื่อว่าช่วงต้น เม.ย. SET ได้ปรับลงใกล้ระดับวิกฤติ (Downside ที่ 1,032 จุด) สะท้อนผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ ซึ่งผ่านจุดแย่ที่สุดไปแล้ว เรายังคงมุมมองหากดัชนีปรับตัวลงมาบริเวณ 1120-1100 จุด ยังเป็นโอกาสทยอยซื้อสะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว กลยุทธ์ลงทุนคงแนะนำให้ “Selective Buy”

แนวรับ-ต้าน
1127/1120– 1145/1150

ล็อคเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มอง SET มีโอกาสแกว่งตัว Sideways จากความไม่แน่นอนในหลายปัจจัย ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ, การเมืองไทย และการปรับเกณฑ์คำนวณดัชนี SET50/SET100 กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 4 ธีม หลักและ 2 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Earnings Play โมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง 2Q68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ แนะนำ ADVANC TRUE CPALL BTG CPF
2. หุ้น SET50 ที่มี SET ESG Ratings A ขึ้นไป คาดให้ Div. Yield ตั้งแต่ 5% ขึ้นไป อีกทั้งเราแนะนำ Outperform แนะนำ PTT KTB BBL HMPRO
3. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ แนะนำ ADVANC BDMS CPALL PTT BCH BTG AP
4. หุ้นตั้งรับที่มีรายได้ในประเทศเป็นหลัก สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำและต้องการรอดูความชัดเจนการดำเนินมาตรการภาษี ปธน. ทรัมป์ แนะนำ BCH CPALL GULF MTC OR TRUE
5. Trading Idea: สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้นที่มีโอกาสได้รับน้ำหนักเพิ่มจากกองทุน Passive Funds ที่ต้องลดน้ำหนัก DELTA ลงเหลือ 10% และเพิ่มน้ำหนักหุ้นอื่นใน SET50 แทน แนะนำ PTT ADVANC AOT GULF CPF และ 2) หุ้นที่ฟื้นตัวเร็วหากมีความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า แนะนำ AMATA AOT MINT PTT TU WHA

Daily top picks
CENTEL: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นจาก ครม. พิจารณาเที่ยวไทยคนละครึ่งหนุน ในขณะที่ผ่านมาการดำเนินงานโรงแรมในประเทศไทยและญี่ปุ่นแข็งแกร่ง และราคาปรับตัวลงตอบสนอง 2Q68 จะเป็นโลว์ซีซั่นไประดับหนึ่งแล้ว ราคาปรับตัวลง -32%YTD มีโอกาสที่จะมีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามา

GPSC: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากการปรับตัวลงของราคาก๊าซฯ และ Bond Yield ขณะที่ปี 2568 คาดกำไรปกติจะเติบโต 3.9%YoY โดยมีปัจจัยหนุน ได้แก่ การเพิ่มกำลังการผลิต, การได้รับการคัดเลือกโครงการพลังงานทดแทนระยะที่ 2 รอบแรก, ไม่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้ภาษีขั้นต่ำสากล (GMT)