สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(9 มิถุนายน 2568)-------ศาลขวางภาษีทรัมป์อาจไม่ดีสำหรับไทย
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกผ่อนคลายความกังวลในเรื่องสงครามการค้าได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง เพราะหลังจากศาลการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีคำสั่งยับยั้งการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ประธานาธิบดีทรัมป์มีการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ในวันเดียวกันและศาลได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณาคำอุทธรณ์ของรัฐบาล ทำให้ยังสามารถเก็บภาษีต่อได้จนกว่าจะมีคำตัดสินใหม่ออกมา
ในประเด็นนี้สุดท้ายคงต้องไปจบกันที่ศาลสูงสหรัฐฯ ที่จะต้องใช้เวลาอีกสักพัก แต่หลายฝ่ายก็เริ่มมีความหวังว่ามาตรการภาษีตอบโต้ของทรัมป์อาจต้องเจออุปสรรคอีกหลายเรื่องหรือ ในที่สุดอาจจะไม่สามารถดำเนินการได้เลย
อย่างไรก็ตาม KKP Research มองว่าเหตุผลเบื้องหลังของการเก็บภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นอาการของปัญหาเบื้องหลังในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ใหญ่กว่านั้น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขในที่สุด และการที่ศาลเข้ามายับยั้งในกรณีนี้อาจะไม่เป็นผลดีต่อไทยอย่างที่หลายคนคิด
ขาดดุลดุลการค้ากระทบหนี้สาธารณะและเงินดอลลาร์
KKP Research มองว่าต้นตอของปัญหาที่แท้จริง คือ การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่เชื่อมโยงไปยังการขาดดุลการคลัง หรือที่เรียกว่า Twin deficits โดยปัญหานี้ท้ายที่สุดยังอาจเชื่อมโยงไปถึงความน่าเชื่อถือของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ในปัจจุบันการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งมีมูลค่าสูงถึงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีแล้ว ส่งผลให้หากสหรัฐฯ ไม่มีมาตรการลดการขาดดุลที่ชัดเจน สหรัฐฯ จะมีแนวโน้มที่ต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อจ่ายค่านำเข้าสินค้าจากการขาดดุลในระดับสูงในกรณีนี้ปัญหาการขาดดุลการค้าจะกลายเป็นต้นเหตุที่นำไปสู่ปัญหาการขาดดุลทางการคลังตามมาหรือที่ในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่าการขาดดุลแฝด (Twin Deficit) โดยในกรณีที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ โตใกล้เคียงกับปัจจุบัน ระดับการขาดดุลตอนนี้จะทำให้ระดับหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วจากระดับ 122% ต่อ GDP ที่สูงอยู่แล้วในปัจจุบันจะสูงขึ้นไปเป็น 156% ในปี 2035 และจะไม่สามารถปรับตัวลดลงได้ในระยะยาว สถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นประเด็นที่นักลงทุนมีความกังวลต่อความน่าเชื่อถือในการชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาการด้อยค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะยาวตามไปด้วย
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ จะต้องพยายามจัดการกับปัญหานี้ในระยะข้างหน้าโดยนโยบายที่รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถทำได้เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดดุลดังกล่าว คือภาษีนำเข้ายังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองข้อตกลงทางการค้า ดึงภาคการผลิตกลับประเทศและเพิ่มการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐบาล
• สหรัฐฯ ต้องการลดการขาดดุลการค้าโดยการให้ประเทศคู่ค้าเปิดตลาดหรือซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น
• ลดสัดส่วนหนี้สาธารณะโดยการเพิ่มการเติบโตภายในประเทศผ่านการดึงการลงทุนในภาคการผลิตและลดกฎเกณฑ์ที่จำกัดการเติบโต
สหรัฐฯ จะไม่เลิกเก็บภาษีและทำให้การเจรจายากขึ้น
คำสั่งของศาลการค้านอกจากไม่ได้เปลี่ยนภาพระยะยาวของนโยบายการค้าสหรัฐฯ แล้ว ยังอาจทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามเลี่ยงไปหาช่องทางอื่น ๆ ที่ทำได้ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลแฝดที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยมาตรการภาษีการค้าก็จะยังเป็นเครื่องมือสำคัญอยู่ แต่อาจทำให้การเจรจาของไทยมีความซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม
โดยตามกฎหมาย ประธานาธิบดียังมีอำนาจอื่นในการขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศคู่ค้าที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ได้ ตัวอย่างเช่น มาตรา 122กฎหมายการค้าปี 1974 (Trade Act of 1974) ให้อำนาจประธานาธิบดีในการขึ้นภาษี 15% เป็นระยะเวลา 150 วันได้ในกรณีที่สหรัฐฯ เผชิญกับปัญหาดุลชำระเงิน และในระหว่างนั้นทรัมป์สามารถให้ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เริ่มการสอบสวนการค้าที่ไม่เป็นธรรมของประเทศคู่ค้าเพื่อใช้มาตรา 301 ในการตั้งกำแพงภาษีในกลุ่มสินค้าสำคัญ (ภาษีนำเข้าที่ขึ้นกับจีนในหลายสินค้าอาศัยกฎหมายมาตรานี้) เป็นต้น
หากสุดท้ายศาลสูงสหรัฐฯ มีคำสั่งไม่ให้ขึ้นภาษีนำเข้าอยู่ ทรัมป์จะยังสามารถขึ้นภาษีนำเข้าโดยผ่านกระบวนการรัฐสภาซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจเก็บภาษีการค้าที่แท้จริงตามรัฐธรรมนูญและพรรครีพับลิกันยังครองเสียงข้างมากในทั้ง 2 สภาอยู่ แม้อาจใช้เวลาก็ตาม
ในกรณีนี้การหวังให้ศาลสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงเพื่อหยุดภาษีนำเข้าจะทำได้ยากขึ้นในระยะยาว โดยทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้ KKP ประเมินว่าคำสั่งศาลอาจยิ่งทำให้ความไม่แน่นอนในการเจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้ารวมถึงไทยยาวนานขึ้น โดยการเจรจาที่ก่อนหน้านี้ควรจะสามารถดำเนินการได้โดยใช้เวลาประมานหนึ่งปี หากการขึ้นภาษีนำเข้าและการเจรจาถูกบังคับให้ต้องเข้ากระบวนการรัฐสภาอาจทำให้ภาษีที่ถูกปรับขึ้นในระยะข้างหน้าต่อประเทศคู่ค้าจะปรับลดลงได้ยากขึ้นเพราะต้องผ่านสภาก่อนและการเจรจาอาจลากยาวกว่าหนึ่งปีได้
อีกด้านของความไม่สมดุลคือจีน
ปัญหาหลักของการค้าโลกในปัจจุบันไม่ใช่สงครามการค้าแบบในช่วง 1930 แต่เป็นความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างประเทศผู้ซื้อกับประเทศผู้ขาย หรือเรียกอีกแบบหนึ่งคือความไม่สมดุลระหว่างประเทศที่บริโภคมากเกินไป (over-consume) กับ ประเทศที่บริโภคน้อยเกินไป (under-consume)
ปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันแตกต่างจากในอดีตเพราะประเทศเศรษฐกิจหลักในอดีตส่วนใหญ่มีการเกินดุลทางการค้า เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ทุกประเทศที่เป็นผู้ขายจึงตั้งกำแพงภาษีและลดค่าเงินเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งของตลาดโลกซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสงครามระหว่างผู้ขายหลายราย อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ปัจจุบัน สหรัฐฯ เป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของโลกสะท้อนจากการขาดดุลทางการค้าของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูงที่สุดในโลก แต่การที่ขาดดุลการค้าในระดับสูง พร้อมกับการก่อหนี้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังมีการบริโภคโดยรวมที่มากเกินไป ในทางตรงกันข้าม ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะจีนมีการเกินดุลทางการค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและอยู่ในระดับที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเกิดจากอุปสงค์ในประเทศมีความอ่อนแอทำให้หากจีนต้องการขยายภาคการผลิตต่อเนื่องในอนาคต จำเป็นต้องอาศัยตลาดต่างประเทศเป็นแหล่งรับซื้อสินค้า ซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจจีนและประเทศอื่น ๆ ในโลกมีการบริโภคที่น้อยเกินไป
ประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญที่สหรัฐฯ กำลังเน้นย้ำว่าในระยะยาวประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะจีนควรปรับสมดุลทางเศรษฐกิจโดยการเพิ่มอุปสงค์ในประเทศให้มากขึ้นเพื่อลดความไม่สมดุลของการค้าโลกโดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อย่างไรก็ตาม การที่จะร่วมมือกันไปถึงจุดนั้นไม่ใช่เรื่องนี้ที่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอาจส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ต่างกันไปในแต่ละกลุ่ม ซึ่งทำให้อาจมีเสียงคัดค้านในการเปลี่ยนแปลงได้
ภาษีทรัมป์ไม่น่ากลัวเท่าส่งออกจีน
การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนคาดว่าจะเต็มไปด้วยอุปสรรคในระยะสั้นและอาจใช้เวลานานกว่าจะบรรลุข้อตกลงการค้าที่นำไปสู่การปรับสมดุลเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะมีหลายประเด็นที่เป็นประเด็นอ่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้าไม่เป็นธรรม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี ค่าเงิน ทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น
ในระยะต่อไปจึงยังมีโอกาสสูงที่สหรัฐฯ จะใช้ภาษีนำเข้าเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองหรือปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศที่อ่อนไหวจากสินค้าจีน อย่างไรก็ตามในระหว่างนั้น คาดว่าจีนจะกระจายตลาดการส่งออกออกจากสหรัฐฯ โดยส่งออกสินค้าไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากกำลังการผลิตส่วนเกินที่ยังมีอยู่ โดยเฉพาะในตลาดอาเซียนรวมทั้งไทยที่ดูเหมือนจะมีอำนาจการต่อรองในการขึ้นภาษีนำเข้าต่ำ
หากผู้ผลิตจีนยังทยอยลดราคาสินค้าเพื่อส่งออกมายังตลาดไทย สิ่งที่ต้องกังวลคือความเสี่ยงต่อการแข่งขันทางด้านราคาต่อผู้ผลิตไทยจะยิ่งเร่งตัวขึ้นไปอีก และอาจส่งผลกระทบรุนแรงขึ้นโดยทำให้กิจกรรมในภาคการผลิตและการจ้างงานหดตัวแรง
ดังนั้น แม้ว่าความเสี่ยงจากภาษีทรัมป์ต่อไทยจะลดลงจากความพยายามของภาครัฐในการเจรจาข้อตกลงการค้า แต่ประเด็นที่น่ากังวลสำหรับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว คือ แรงกดดันทางด้านเงินฝืดต่อเศรษฐกิจไทยที่น่าจะยังเพิ่มสูงขึ้นหากรัฐบาลไม่มีมาตรการรองรับผลกระทบต่อธุรกิจและการจ้างงานจากกำลังการผลิตส่วนเกินของจีนที่เข้ามาตีตลาดในไทย