Pi Daily ทรัมป์ระบุเจรจากับจีนเป็นไปได้ด้วยดี แต่หุ้นสหรัฐฯ ไม่ตอบรับ ส่วนหนึ่งรับแรงกดดันจาก TESLA ในประเทศ Bloomberg นำเสนอ White Lotus มิสามารถช่วยประเทศไทยได้ กลยุทธ์แนะเป็นรายตัวเช่นเดิม Top Pick MINT
ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 108 จุด (-0.25%) ขณะที่ตลาดหุ้น S&P500 , Nasdaq ก็ปิดลบเช่นกันเพราะเผชิญแรงกดดันจากหุ้น TESLA ที่ปรับลงแรงจากการที่มีข่าวบาดหมางกันระหว่าง Trump , Elon Musk ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 0.74% ตอบรับข่าวที่ว่าสหรัฐฯ และจีนได้ตกลงเจรจาการค้าระหว่างกัน
เมื่อคืนที่ผ่านมาเกิดหลากหลายเหตุการณ์ไล่ตั้งแต่สหรัฐฯ ประกาศผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ 2.47 แสนรายมากกว่า Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 2.36 แสนราย หลังจากนั้น Trump ก็ได้ระบุว่าตนพึ่งเสร็จจากการพูดคุยกับประธานาธิบดีจีนทางโทรศัพท์และเป็นการสนทนาที่ดีมาก โดยหารือกันถึงความซับซ้อนบางประการของข้อตกลงการค้าที่ได้ตกลงกันไปก่อนหน้า ทั้งนี้บทสนทนาใช้ระยะเวลาประมาณชั่วโมงครึ่งและได้ข้อสรุปเชิงบวกมากสำหรับทั้งสองประเทศและทีมงานทั้งสองจะประชุมกันเร็วๆ นี้ โดยสหรัฐฯ จะส่งรัฐมนตรีคลังเข้าร่วมประชุม แต่อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นสหรัฐฯก็ดูจะมิได้ให้น้ำหนักกับประเด็นดังกล่าว ด้านตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ พบว่า Bond Yield ปรับขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความไม่มั่นใจในสหรัฐฯ สอดคล้องกับ Dollar Index ที่อ่อนค่าเช่นกัน ด้านปัจจัยในประเทศ Bloomberg ได้นำเสนอว่าแม้กระทั่ง Serie ชื่อดังอย่าง White Lotus ก็ยังมิสามารถช่วยการท่องเที่ยวไทยได้ สาเหตุหลัก Bloomberg เชื่อว่ามาจากภาพการถล่มของตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน รวมไปถึงความนิยมที่เพิ่มมากขึ้นกับประเทศญี่ปุ่นในสายตานักท่องเที่ยวจีน นอกจากนี้การหายตัวของนักแสดงจีนก็เป็นอีกปัจจัยกดดันเช่นกัน และเช้านี้รอติดตามเงินเฟ้อไทยประจำเดือน พ.ค. Bloomberg Consensus คาดไว้ -0.8%YoY ส่วนคืนนี้รอติดตามแรงงานสหรัฐฯ ประกอบไปด้วย การจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงาน Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 1.26 แสนรายและ 4.2% หากย่ำแย่อาจสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นโลก จากความวิตกกังวลภาวะเศรษฐกิจ ด้านผลประชุม ECB ปรับลดดอกเบี้ย 0.25% พร้อมคาดว่าเศรษฐกิจ EU จะขยายตัว 1.1% ในปี 26 ลดลงจาก 1.2% สาเหตุปรับลงเป็นเพราะการค้าโลกและยังเน้นย้ำถึงความไม่แน่นอนจากการค้าโลก วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวกรอบ 1130 – 1150 ทั้งนี้ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังไม่แนะเพิ่มพอร์ตการลงทุน ท่ามกลางปัจจัยข้างหน้าที่ไม่ชัดเจนทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่เตรียมเผชิญแรงกดดันจากส่งออก ท่องเที่ยวและบริโภคภายในประเทศ โดยที่การท่องเที่ยวจากต่างชาติก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าตัวเลขจะกลับมาขยายตัวได้ดีช่วงไหนหรือจะเผชิญจุดต่ำสุดช่วงไหน แม้จะมีข่าวเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับจีนแต่ก็อย่าไปคาดหวังเชิงบวกใดๆ ต่อประเทศไทย เพราะต่อให้ไม่มีการค้าโลกที่ตึงตัว แท้จริงแล้วเศรษฐกิจไทยก็ขยายตัวเพียง 2-3% การค้าโลกที่ตึงตัวทำให้มีความเสี่ยงขาลงแต่ไม่ใช่ปัจจัยเพิ่ม Upside แต่อย่างไรก็ดี ระยะสั้นอาจเลือก Trading ในกลุ่ม Global Play อาทิ พลังงาน (PTTEP) ปิโตรเคมี (PTTGC IVL) ส่งออก (ITC TU) ส่วนกลุ่มอื่นๆแนะหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว (BDMS MINT OSP CBG CPF)
KTB (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 24.50 บาท)
คาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่ 7.1% ในปี 2025 ด้วยมูลค่าพื้นฐานที่ 24.50 บาท ประเมินด้วยวิธี GGM (ROE 9.5%, Terminal growth 2%) อิง 0.7x PBV'25E ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี (2015-2024) โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวจากความท้าทายสูงขึ้นจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ และความเปาะบางของกลุ่มลูกหนี้รายย่อย และ SME ทำให้ธนาคารต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเติบโต อีกทั้ง NIM ลดลงจากวัฐจักรดอกเบี้ยลดลง แต่การควบคุมคุณภาพสินเชื่อที่ดีทำให้สามารถผ่อนคลายการตั้งสำรองหนี้ฯ ลง
MINT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท)
รายงานกำไรปกติใน 1Q25 อยู่ที่ 50 ล้านบาท (-98% QoQ) ใกล้เคียงกับที่เราคาด แต่สูงกว่าที่ตลาดคาด 48% โดยพลิกกลับมากำไรจากที่ขาดทุนใน 1Q24 (ไตรมาสแรกถือเป็นช่วง Low season ตามปกติของยุโรป) ถึงแม้รายได้จากธุรกิจหลักจะอ่อนตัวอยู่ที่ 3.6 หมื่นล้านบาท (-3% YoY, -12% QoQ) แต่ด้วยความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่าย และชำระหนี้ที่ดีขึ้น SG&A-to-sales ที่ 36% (-1 ppts YoY)