สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(5 มิถุนายน 2568 )-----สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษผู้กระทำความผิด 3 ราย ได้แก่ (1) บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (JKN) (2) นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ และ (3) นางสาวพิมพ์อุมา จักราจุฑาธิบดิ์ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีร่วมกันกระทำหรือยินยอมให้มีการลงข้อความเท็จ และ/หรือทำบัญชีไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง และไม่ตรงต่อความเป็นจริงในงบการเงินประจำปี 2566 และเอกสารบัญชีสำหรับงวดไตรมาส 1 ปี 2567 ของ JKN เพื่อลวงบุคคลใด ๆ และนำส่งหรือเปิดเผยงบการเงินประจำปี 2566 และแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1 One Report) ที่มีงบการเงินเท็จ
จากกรณีผู้สอบบัญชีของ JKN ได้ปฏิบัติตามมาตรา 89/25 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ) โดยแจ้งให้คณะกรรมการตรวจสอบทราบข้อสังเกตเกี่ยวกับธุรกรรมการซื้อลิขสิทธิ์รายการ (content) ที่ไม่สมเหตุสมผลทางการค้าหลายประเด็น ได้แก่ การซื้อลิขสิทธิ์ในปี 2567 ซ้ำกับลิขสิทธิ์เดิมที่มีอยู่แล้วและยังไม่หมดอายุสิทธิ์ การซื้อลิขสิทธิ์เพิ่มจำนวนมากทั้งที่มีลิขสิทธิ์เดิมและ JKN ขาดสภาพคล่อง การสั่งซื้อบางรายการอาจไม่มีจริง เอกสารการบันทึกบัญชีไม่สมบูรณ์ และเอกสารการสั่งซื้อลิขสิทธิ์ไม่สอดคล้องกับข้อมูลที่ผู้สอบบัญชีได้มาจากการตรวจสอบ เป็นเหตุให้ผู้สอบบัญชีไม่สามารถแสดงความเห็นต่องบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการประจำปี 2566 ของ JKN
ก.ล.ต. ได้ตรวจทานข้อมูลในงบการเงินประจำปี 2563 – 2566 ของ JKN พบว่า สินทรัพย์ประเภทลิขสิทธิ์มีจำนวนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ซึ่งไม่สอดคล้องกับรายได้จากการขายลิขสิทธิ์ของ JKN และยอดลูกหนี้การค้า ณ สิ้นปีมีมูลค่าใกล้เคียงหรือสูงกว่ารายได้ค่าลิขสิทธิ์ น่าเชื่อว่า การขายลิขสิทธิ์ในแต่ละปี JKN ไม่สามารถเก็บเงินจากลูกหนี้การค้าได้ หรือเก็บเงินได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงมีประเด็นสงสัยความสมเหตุสมผลของการซื้อลิขสิทธิ์และความมีอยู่จริงของลิขสิทธิ์รายการ รวมทั้งความมีตัวตนอยู่จริงของลูกหนี้การค้าและการขายลิขสิทธิ์ให้ลูกหนี้การค้า
โดยปรากฏข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ว่าผู้กระทำความผิด 2 ราย ได้แก่ (1) นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ (2) นางสาวพิมพ์อุมา จักราจุฑาธิบดิ์ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการสายงานคอนเทนต์ ได้ร่วมกันสั่งการหรือกระทำการสร้างรายการเจ้าหนี้ปลอมและลูกหนี้ปลอม เพื่อนำไปบันทึกในสมุดบัญชีและงบการเงินงวดประจำปี 2566 และเอกสารบัญชีสำหรับงวดไตรมาส 1 ปี 2567 และเอกสารหรือรายงานอื่นที่เกี่ยวข้องของ JKN ส่งผลให้งบการเงินของ JKN แสดงยอดรายได้และหนี้สินสูงกว่าที่ควรจะเป็น อีกทั้งยังพบการบันทึกบัญชีเจ้าหนี้ค่าลิขสิทธิ์ไม่ถูกต้องตามงวดที่เกิดขึ้นจริง การกระทำดังกล่าวส่งผลให้งบการเงินปี 2566 ของ JKN แสดงยอดหนี้สินและสินทรัพย์น้อยกว่าความเป็นจริง แต่นำเจ้าหนี้การค้ามาบันทึกบัญชีในปี 2567 เพื่อลวงบุคคลใด ๆ ว่าในปี 2567 JKN มีเจ้าหนี้การค้าเพิ่มขึ้น และนำเจ้าหนี้การค้าดังกล่าวไปใช้สิทธิออกเสียงเพื่อเลือกผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการของ JKN ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 312 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ
นอกจากนี้ JKN โดยนายจักรพงษ์ ได้ส่งหรือเปิดเผยงบการเงินประจำปี 2566 และแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปีที่มีงบการเงินเท็จดังกล่าว ต่อ ก.ล.ต. จึงเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 281/10 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ
การกระทำของบุคคลรวม 3 รายข้างต้น เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 312 และมาตรา 281/10 ประกอบมาตรา 300 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (แล้วแต่กรณี) ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษบุคคลทั้ง 3 ราย ต่อ DSI เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
การถูกกล่าวโทษข้างต้นมีผลให้ผู้ถูกกล่าวโทษเข้าข่ายมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจและไม่สามารถดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนตลอดระยะเวลาที่ถูกกล่าวโทษดำเนินคดี นับตั้งแต่วันที่ ก.ล.ต. มีหนังสือกล่าวโทษบุคคลดังกล่าวต่อ DSI
นอกจากกรณีที่กล่าวโทษในครั้งนี้ ก.ล.ต. ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบขยายผลไปยังกรณีอื่น ๆ ที่มีข้อสงสัย โดยจะประสานความร่วมมือกับ DSI ซึ่งหากดำเนินการแล้วเสร็จ จะมีการเปิดเผยให้ทราบต่อไป
ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวโทษของ ก.ล.ต. กระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาต่อไปเป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ และการพิจารณาของศาลยุติธรรม ตามลำดับ โดย ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดี และจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ในกระบวนการภายหลัง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษแล้ว