วันพุธที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวลงแรง จากความกังวลสถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ประกอบกับFund Flow ที่ไหลออกต่อเนื่อง เป็นปัจจัยกดดันดัชนี มีแรงขายมากในหุ้นกลุ่ม Big-Cap น าโดยหุ้น DELTAโดยกดดันดัชนีราว 9 จุด ตามด้วยแรงขายเพิ่มเติมในหุ้นกลุ่มธนาคาร และพลังงาน ส่งผลให้ดัชนี SET Indexปิดตลาดที่ 1,132.02 จุด -17.16 จุด -1.49% มูลค่าการซื้อขาย 49,605.35 ลบ. Program Trading-493.39 ลบ. ต่างชาติ -867.05 ลบ. TFEX +11,645 สัญญา ตราสารหนี้+3,065.31 ลบ

ปัจจัยบวก
+ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐฯปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.7 ในเดือนพ.ค. สูงกว่าดัชนีเบื้องต้นซึ่งอยู่ที่ระดับ52.3 หลังจากอยู่ที่ระดับ 50.8 ในเดือนเม.ย.
+ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทย (JBC) จะประชุมหารือประเด็นปัญหาชายแดน ณ กรุงพนมเปญ ในวันที่ 14 มิ.ย.

ปัจจัยลบ
- ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 91.90 จุด หรือ -0.22% ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนหลังสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 56 เซนต์ หรือ -0.88% ปิดที่ 62.85 ดอลลาร์/บาร์เรลหลังสหรัฐฯ เปิดเผยสต็อกน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดบ่งชี้ถึงภาวะอุปทานเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นในสหรัฐฯ และการที่กลุ่มโอเปกพลัสมีมติเพิ่มกำลังการผลิต รวมทั้งความกังวลว่าสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มอุปสงค์พลังงาน
- สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการปรับตัวลงสู่ระดับ 49.9 ในเดือนพ.ค. จากระดับ51.6 ในเดือนเม.ย. ดัชนีอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ถึงภาวะหดตัวของภาคบริการและเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบเกือบ 1 ปี โดยได้รับผลกระทบจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า ส่งผลให้คำสั่งซื้อใหม่ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี
- ยอดคำสั่งซื้อใหม่จากภาคโรงงานของสหรัฐฯ ในเดือนเม.ย. ลดลง 3.7% หดตัวมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 3.2% จากขยายตัว 3.4% ในเดือนมี.ค.
- การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพียง 37,000 ต าแหน่งในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2566 และ 60,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย.
- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมเป็นเท่าตัวสู่ระดับ 50% ซึ่งจุดชนวนความวิตกกังวลรอบใหม่เกี่ยวกับการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ
- กกร.ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวต่ ากว่าที่ประเมินไว้ โดยคาดว่าจะเติบโต 1.5-2% ลดลงจากเดิมคาดไว้ที่ 2-2.2% ตามการส่งออกสินค้าที่คาดว่าจะติดลบ 0.5% ถึงโต 0.3% ลดลงจากเดิมคาดไว้ที่ 0.3-0.9% รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนที่มี แนวโน้มชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง ขณะที่เงินเฟ้อ คงเดิมคาดอยู่ที่ 0.5-1%

แนวโน้มตลาดวันนี้
คาดดัชนีในวันนี้ยังแกว่งตัวผันผวนระหว่างวัน โดยมีแรงกดดันจากสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่ปัจจัยในประเทศถูกกดดันจากประเด็นปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา มองกรอบดัชนีในวันนี้ 1,125-1,140 จุด

กลยุทธ์การลงทุน
- หุ้นที่ได้ประโยชน์จากกองทุน TESGX: BBL BEM CPALL PTT TISCO
- คาดหุ้นเข้าคำนวณ SET50 : BCP BTG TCAP TIDLOR / หุ้นออกจาก SET50 : BGRIM GLOBAL ITC SAWAD
- คาดหุ้นเข้าคำนวณ SET100 : AURA GFPT MBK TOA WHAUP / หุ้นออกจาก SET100 : CKP COCOCO ITCROJNA SAPPE