“ภาวะการลงทุนในสัปดาห์ก่อน”
ดัชนี MSCI ACWI ฟื้นตัวขึ้น 1.3% หลังจากที่ปรับตัวลดลง 1.4% ในช่วงก่อนหน้า โดยได้แรงหนุนจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเลื่อนการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจาก EU ในอัตรา 50% ออกไปเป็นวันที่ 9 กรกฎาคม ซึ่งช่วยคลายความกังวลของตลาดและหนุนให้ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นถึง 1.9%
ขณะเดียวกัน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 7–10 ปี ปรับตัวขึ้น 0.9% ส่วนราคาทองคำและน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 2% และ 1.2% ตามลำดับ
ดัชนี SET ปรับตัวลดลง 2.3% ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สาม สะท้อนถึงภาวะตลาดที่ยังคงเปราะบาง ขณะที่เมื่อพิจารณารายกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่ามีเพียง 4 จาก 20 หมวดที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยกลุ่มปิโตรเคมีให้ผลตอบแทนโดดเด่นที่สุดที่ระดับ 2.8%
“ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรจับตาในระยะสั้น”
ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กจาก 25% เป็น 50% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2025 เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศและรักษาระดับการจ้างงานในภาคการผลิต
อย่างไรก็ดี เราประเมินว่ามาตรการดังกล่าวจะสร้างแรงกดดันโดยตรงต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และภาคการก่อสร้าง ซึ่งเป็นสองกลุ่มหลักที่ใช้เหล็กในสัดส่วนสูง และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ในกรณีของอุตสาหกรรมยานยนต์ เหล็กยังคงเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตทั้งโครงสร้างตัวถัง ชิ้นส่วนสำคัญ และระบบความปลอดภัย แม้ผู้ผลิตรถยนต์จะพยายามลดน้ำหนักของรถด้วยการหันไปใช้อะลูมิเนียมหรือวัสดุผสมมากขึ้นในช่วงหลัง แต่สำหรับรถยนต์รุ่นมาตรฐานและรถกระบะซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ เหล็กยังคงเป็นวัสดุหลักที่ขาดไม่ได้ การขึ้นภาษีในครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เพิ่มต้นทุนการผลิตเท่านั้น แต่ยังอาจบีบอัตรากำไรของผู้ผลิตที่มีข้อจำกัดในการผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภค ท่ามกลางภาวะที่ความอ่อนไหวต่อราคาของผู้ซื้อมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
ในขณะเดียวกัน ภาคการก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐานก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากเหล็กเส้น เหล็กรูปพรรณ และโครงสร้างเหล็กต่าง ๆ ถือเป็นองค์ประกอบหลักในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นอาคารสูง สะพาน โรงงาน หรือระบบสาธารณูปโภค การขึ้นภาษีเหล็กจึงมีแนวโน้มดันต้นทุนการก่อสร้างโดยรวมให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย โดยเฉพาะในโครงการภาครัฐที่มีกรอบงบประมาณตายตัว นอกจากนี้ ในภาคเอกชน การปรับขึ้นต้นทุนวัสดุก่อสร้างอาจกระทบต่อแผนการลงทุนของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอาจชะลอโครงการใหม่หรือปรับขึ้นราคาขายต่อหน่วย ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์โดยรวมของตลาดในระยะข้างหน้า
“ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตามสัปดาห์นี้”
วันพุธ: US ISM Services PMI ตลาดคาดดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการสหรัฐฯ เดือนพฤษภาคม จะขยายตัวที่ระดับ 52 เร่งตัวขึ้นจาก 51.6 ในเดือนก่อนหน้า
วันพฤหัสบดี: CN Ciaxin Services PMI ตลาดคาดดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการจีนเดือนพฤษภาคม จะขยายตัวที่ระดับ 51.1 เร่งตัวขึ้นจาก 50.7 ในเดือนก่อนหน้า
วันศุกร์: 1) US Nonfarm Payrolls ตลาดคาดตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ เดือนพฤษภาคมจะเพิ่มขึ้น 130,000 ตำแหน่ง ชะลอตัวลงจาก 177,000 ตำแหน่งในช่วงก่อนหน้า และ 2) US Unemployment Rate ตลาดคาดอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ เดือนพฤษภาคม จะอยู่ที่ 4.2% ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า
“แนวโน้มราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในสัปดาห์นี้”
ดัชนี S&P 500 มีแนวโน้มเผชิญแรงขายทำกำไรในระยะสั้น หลังจากปรับตัวขึ้นเข้าใกล้แนวต้านสำคัญบริเวณ 5,970 จุด ขณะเดียวกันเครื่องชี้ Momentum Tracker ได้ฟื้นตัวจากภาวะ oversold กลับขึ้นมาใกล้ระดับกึ่งกลาง (midpoint) ซึ่งมักทำหน้าที่เป็นแนวต้านสำคัญในช่วงของการรีบาวด์ สัญญาณดังกล่าวสะท้อนความเป็นไปได้ที่แรงกดดันจะกลับเข้ามาอีกครั้งเร็วๆนี้
ตลาดพันธบัตรยังคงมีแนวโน้มผันผวนในระยะสั้น โดยเฉพาะในกลุ่มพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวซึ่งมีความอ่อนไหวต่อความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อในอนาคต ตรงกันข้ามกับพันธบัตรระยะสั้นที่ยังได้รับแรงหนุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยสำหรับการพักเงิน ท่ามกลางบรรยากาศของความไม่แน่นอนที่ยังปกคลุมตลาดการเงินทั่วโลก
ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอีกครั้ง โดยได้แรงหนุนจากความตึงเครียดทางการค้าที่กลับมาเป็นประเด็นในระยะสั้น ส่งผลให้นักลงทุนหันมาใช้ทองคำเป็นสินทรัพย์ทางเลือกเพื่อกระจายความเสี่ยง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นอกจากนี้ สถานะ Net Long ในตลาดฟิวเจอร์สยังอยู่ในระดับที่ไม่ตึงตัวนัก โดยล่าสุดอยู่ที่ 117,237 สัญญา ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 119,523 สัญญา ซึ่งสะท้อนว่ายังมีพื้นที่ให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อได้ หากแรงซื้อทยอยกลับเข้ามาในช่วงถัดไป
ปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนให้ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านสำคัญที่ระดับ 3,370 ดอลลาร์สหรัฐฯ และหากสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคง ราคาอาจเพิ่มขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 3,560 ดอลลาร์ในลำดับถัดไป
ราคาน้ำมันดิบ WTI ยังคงเผชิญแรงกดดันจากสัญญาณชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กดดันแนวโน้มในระยะกลาง ขณะที่ขณะที่ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับชาติตะวันตก รวมถึงอิสราเอลและอิหร่านยังคงเป็นแรงหนุนให้ราคาน้ำมันสามารถรีบาวด์ในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ภาพรวมยังคงให้สัญญาณเชิงลบ โดยสะท้อนผ่านโครงสร้างราคาฟิวเจอร์ส (Forward Curve) ที่แม้ในช่วง 1–6 เดือนแรกจะยังอยู่ในภาวะ Backwardation แต่ตั้งแต่เดือนที่ 7 เป็นต้นไปกลับพลิกเป็น Contango ซึ่งมักบ่งชี้ถึงมุมมองตลาดต่อภาวะอุปทานส่วนเกินในอนาคต
นอกจากนี้ อัตราส่วน Long-to-Short ในตลาดฟิวเจอร์สก็ปรับลดลงจากระดับ 3 เท่าในช่วงก่อนหน้า เหลือเพียง 2.8 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 5.6 เท่า สะท้อนแรงเก็งกำไรฝั่งซื้อที่ลดลง จึงมีความเป็นไปได้ว่าการรีบาวด์ของราคาน้ำมันในระยะสั้นอาจขาดความต่อเนื่องและมีกรอบจำกัด
ดัชนี SET ยังคงเผชิญแรงขายต่อเนื่องตลอดช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางแรงกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศที่ยังขาดความชัดเจน
สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ เราประเมินว่าตลาดหุ้นไทยจะยังเคลื่อนไหวอย่างผันผวน โดยมีปัจจัยกดดันหลักจากกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอ ประกอบกับสัญญาณความไม่เป็นเอกภาพภายในพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อนโยบายเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะการพิจารณาร่างงบประมาณในวาระ 2 ที่กำลังจะเริ่มขึ้น
ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ทำให้การใช้กลยุทธ์หมุนกลุ่มหุ้น (stock rotation) เพื่อเก็งกำไรระยะสั้นจะทำได้ยากขึ้น และไม่เอื้อต่อผู้ลงทุนที่มุ่งหวังผลตอบแทนแบบ absolute return เราจึงแนะนำให้นักลงทุนลดการเก็งกำไรลง และเน้นกลยุทธ์รอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวเพื่อรักษาเสถียรภาพของพอร์ตเป็นหลัก
สำหรับรายชื่อหุ้นแนะนำเชิงปริมาณ (Quant Focus List) ในสัปดาห์นี้ ได้แก่
Bank: BBL, KTB, SCB
Food: CBG
Healthcare: PR9
Utilities: GULF
สรุปภาพตลาดวานนี้ SET ย่อต่อเมื่อศุกร์ที่แล้ว กดดันจากการขายหุ้นใหญ่ลดพอร์ตก่อนวันหยุด ค่อนข้างลงกระจายกลุ่ม DELTA PTTEP SCC AOT PTT TRUE KTC CPN SCB CPF เป็นต้น ส่วนด้านแข็งกว่าตลาด หลักๆ กลุ่มมีแรงซื้อ Cover Short เช่น CRC BEM CENTEL MINT GPSC
แนวโน้มตลาดวันนี้
BUY and Hold (อาจต้องมี Hope เพิ่มด้วย)
ความผันผวนจากประเด็นข่าว เดี๋ยวบวก เดี๋ยวลบ เรื่องภาษีตอบโต้ฯ ตลอดทั้งสัปดาห์ที่แล้ว อาจส่งผลระยะสั้นต่อราคาหุ้นรายตัวที่เชื่ยมโยง แต่เราไม่ได้มองว่า นักลงทุนต้องมานั่งเฝ้าข่าว แล้วเล่นหุ้นตามข่าวดี ขายตามข่าวร้าย เพราะมีแต่จะกลายเป็นเสียเปรียบต้นทุน หรือ ซื้อ-เช้าไม่ขาย บ่ายไม่เหลือ ดังนั้นเราแนะให้มองข้ามช็อตนี้ แล้วไปโฟกัสเรื่อง ความชัดเจนอัตราภาษีที่จะใช้กับนานาประเทศ เลยทีเดียว ซึ่งเราฟันธงว่าไม่น่าเลวร้ายไปกว่าที่เห็นหุ้นไทยตกรุนแรงเหมือน ครั้งแรกที่ข่าวเก็บภาษีตอบโต้ Shock ตลาดหุ้น เมื่อต้นเม.ย.
ด้านคู่ขัดแย้งการค้าระหว่างอเมริกา และจีน ก็เริ่มมีข่าวเป็นทางการจากทำเนียบขาวว่า ปธน.จีน และอเมริกา จะได้พบปะ ประชุม กันภายในสัปดาห์นี้ แต่ยังไม่มีรายละเอียดในการประชุม ซึ่งดูแล้วพัฒนาการก็น่าจะดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน
ส่วนข้อเสนอการค้ากับนานาประเทศ ทาง ปธน.ทรัมป์ ได้เร่งรัดขั้นตอน โดยวันที่ 4 มิย. นี้ นานาประเทศจะทยอยส่งเงื่อนไขการค้า เพื่อหาข้อสรุปก่อน เส้นตาย 8 กค. นี้ ซึ่งเป็นกรอบระยะเวลาที่ อเมริกาผ่อนผันภาษีตอบโต้อัตรา Base line 10% ให้นานาประเทศ จะครบกำหนด 90 วัน
นอกจากประเด็นมหภาค ที่เราจะเห็นธนาคารกลางหลายประเทศ ทยอยลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง เช่น การประชุมธนาคารกลางยุโรป, อินเดีย ต่างก็ลดดอกเบี้ยลงในการประชุมสัปดาห์นี้ แม้ดูจะบวกต่อภาพรวม
แต่ปัจจัยในประเทศ ช่วงนี้ นลท. คงกังวลและติดตาม ประเด็นการเมืองในประเทศ เช่น คดีอดีตนายกทักษิณ ฯลฯ ทั้งนี้เราแนะให้ติดตาม เรื่องมาตรการ จาก ตลท.เพื่อแก้ปัญหา โรบอทเทรด ที่กลายเป็นประเด็นร้อนมีอิทธิพลต่อราคาหุ้น แม้จะห้าม HFT เล่นหุ้นนอก SET100 แล้วก็ตาม รวมถึงการเริ่มดำเนินมาตรการ Jump plus ของทางตลาดหลักทรัพย์ในเดือน มิ.ย. นี้
หุ้นแนะนำซื้อแล้วถือรอบนี้ ยังคงเน้นกลุ่ม สินค้าโภคภัณฑ์ ตามโมเมนตั้มปัจจัย ตปท.ที่ดูดีกว่า หุ้นเชื่อมโยงเศรษฐกิจในประเทศ เช่น กลุ่ม ธนาคาร กลยุทธ์แนะขายกำไร/ ไม่ควรรีบซื้อ ยิ่งข่าวเรื่องปรับเงื่อนไขมาตรการแก้หนี้ กลยุทธ์มองว่าไม่น่าเป็นบวกต่อราคาหุ้น, กลุ่มท่องเที่ยว อุปโภค บริโภค แม้จะมีรีบาวด์ จาก แรงซื้อคืนระยะสั้น แต่ยังไม่น่าเล่น เป็นต้น
กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ แนะนำ ซื้อเก็งกำไร เล่นรอบ เน้นไปที่หุ้น 1Q25 ส่อแววผ่านจุดต่ำสุด และเริ่มจะเห็นสัญญาณของการฟื้นตัว เช่นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์
วิเคราะห์ทางเทคนิค
ภาพรวมเดือนพ.ค. SET Index ปิด 1,149.18 จุด ผลตอบแทนรายเดือน -4% ขณะที่วอลุ่มซื้อขายเฉลี่ยเบาบางเพียง 3.4 หมื่นล้านบาท แต่สูงกว่าเดือนที่แล้วเล็กน้อย..ได้วอลุ่มจาก MSCI rebalance ช่วย! ภาพรวมดัชนีทำจุดสูงสุดที่ 1,231 และจุดต่ำสุดที่ 1,149 จุด….ปิดไม่สวย!
“สถานการณ์ปัจจุบัน” SET Index รายเดือนปิด low (ดัชนีเคยลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1.056 จุดเมื่อเดือนเม.ย.) ส่งผลให้โครงสร้างระยะกลาง-ยาวเคลื่อนที่ขาลง sideway down ขณะที่ RSI (month) ปรับลงเข้าใกล้เขต oversold ภาวะขายมากเกินไป Note: ในอดีต RSI < 30 ต้องย้อนกลับไปช่วง covid ปี 2020 และ subprime ปี 2008…..ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ!
”ปัจจัยสำคัญ” ความกังวลภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จากเรื่องสงครามทางการค้า แนะติดตามการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน& ปท.อื่นๆ ส่วนปัจจัยในประเทศ…จับตารายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนพ.ค. อาจสะท้อนไปยังแนวโน้มการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต....ขณะที่ Fund flow ยังคงไหลออก
กลยุทธ์เทคนิค: หุ้นแนะนำรายเดือน แนะ Selective ไม่ไล่ราคา หากหุ้นขึ้นไปแล้ว เน้นหุ้น laggard ราคายังไม่ขึ้นมากนัก Price pattern & momentum ชี้จุดกลับตัว…หุ้นแนะนำประจำเดือน…BUY “PTTGC, TOP, BCH’’
What to watch
ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางในกรุงวอชิงตันมีคำสั่ง "ระงับชั่วคราว" สำหรับคำตัดสินของศาลการค้า เพื่อรอการพิจารณาคำอุทธรณ์จากฝ่ายบริหาร โดยศาลได้กำหนดให้โจทก์ต้องยื่นคำชี้แจงภายในวันที่ 5 มิ.ย. และให้รัฐบาลตอบกลับภายในวันที่ 9 มิ.ย.นี้
การประชุม ธนาคารกลาง ยุโรป และอินเดีย ตัวเลขเศรษฐกิจอเมริกา มีแนวโน้มอ่อนแอ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เช่น มาตรการอุดหนุนการท่องเที่ยวในประเทศ, มาตรการดึงดูด นทท.จีน, รัฐบาลแถลง รายละเอียด Entertainment complex วันนี้, การออกขาย G Token ฯลฯ
หุ้นแนะนำวันนี้
SCC งานโครงสร้างพื้นฐานแกร่งรอรับงบลงทุนรัฐ ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีเริ่มเห็นสัญญาณกำไรฟื้นตัวผ่าน งบไตรมาส 1/25
แนวรับ 168 ต้าน 175 Stop loss 165
รายงานพื้นฐานวันนี้
Event Key Take-away
Tokenized Thailand Day: G-Token … พันธบัตรยุคใหม่?
สารฯ สำคัญจากงาน Tokenized Thailand Day ที่เราจัดขึ้น สรุปประเด็นสำคัญ ดังนี้
1) G-Token คือการทดลองครั้งแรกของรัฐบาลไทยในการระดมทุนผ่าน “ตราสารดิจิทัล” ที่ลดขั้นตอนแบบเดิม แม้จะคล้ายพันธบัตร แต่ G-Token แฝงความยืดหยุ่นทางกฎหมายที่มากกว่า สะท้อนแนวคิดเดียวกับ Sandbox ต่างประเทศ เช่น Guardian (สิงคโปร์) และ Genesis (ฮ่องกง)
2) รัฐมีแนวโน้มเลือกใช้บล็อกเชนแบบ private หรือ national chain (หากทำได้ทัน ส.ค.) เพื่อการควบคุมและ compliance ที่เข้มงวด อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสที่จะใช้ public chain เพราะอาจตอบโจทย์ด้านเวลาได้ดีกว่า เราคิดว่าจุดชี้ขาดสุดท้าย น่าจะอยู่ที่ความพร้อมของ platform
3) โครงสร้างพื้นฐานอย่าง smart contract และ DLT ที่จะสร้างจะเป็นการลงทุนครั้งเดียว แต่ถัดไปรัฐฯ จะต้องออกแบบระบบตลาดรองและกลไกรองรับความผันผวนของราคา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือด้วย
4) น่าจะเห็นบทบาทของ Market Maker (MM) เพื่อรักษาราคา G-Token และเสถียรภาพตลาดโดยรวม ซึ่งนอกจาก G-Token โมเดลธุรกิจนี้ ยังใช้กับเหรียญอื่นๆ ได้ โดยจะทำรายได้จากค่าธรรมเนียม และ arbitrage ระหว่าง exchange
5) หากตลาดมีสภาพคล่อง เสถียรภาพที่มากขึ้น อาจจะนำไปสู่การพัฒนา “Thai stablecoin” ที่ Back ด้วย G-Token ในระยะถัดไป
MTC
เมืองไทย แคปปิตอล
ขยายส่วนแบ่งตลาด และสร้างฐานกำไรได้ตลอด 2H25
เราได้จัด Virtual conference กับ MTC ไปเมื่อวันที่ 29 พ.ค. 25 ซึ่งข้อมูลที่ได้ก็สอดคล้องกับมุมมองของเรา โดย MTC ตั้งเป้าสินเชื่อจะเติบโต 10-15% YoY ในปี 2025-27 โดยจะเน้นเติบโตในสินเชื่อจำนำทะเบียนที่ตัวเองถนัด ทั้งนี้ บริษัทเห็นความต้องการใช้สินเชื่อเพิ่มขึ้นใน 2Q25 หนุนจากช่วงเปิดเทอม และฝนตก ทำให้ลูกค้าต้องการใช้เงินเพื่อทำการเพาะปลูกมากขึ้น ซึ่งก็เป็นโอกาสในการขยายส่วนแบ่งการตลาด ในช่วงที่ธนาคารและผู้ประกอบการที่ไม่ใช่ธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อในปีนี้
ทิศทางคุณภาพสินทรัพย์ของ MTC จะทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี จากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ นอกจากนี้ ปีนี้ฝนตกค่อนข้างดี และยังไม่มีปัญหาภัยแล้ง ทำให้รายได้ทางการเกษตรก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี
แนวโน้มกำไรปีนี้ของ MTC จะเติบโตสูงสุดในกลุ่มการเงินรายย่อยที่ 14% YoY ขึ้นทำจุดสูงสุดรายปี หนุนจากสินเชื่อเติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ เรายังคาดกำไร 2Q25 ของ MTC ก็จะขึ้นทำจุดสูงสุดรายไตรมาส เติบโตได้ 14% YoY และ 5% QoQ จากสินเชื่อเติบโต
AAI
(Visit Note)
เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล
ความไม่แน่นอนของภาษีการค้ายังกดดัน 2Q25
ผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยกดดันการอาหารสัตว์เลี้ยง และทูน่ากระป๋อง เนื่องจากลูกค้าอยู่ในโหมด wait-and-see เพื่อรอดูความชัดเจนของภาษี จึงคาดว่ายอดขายและมาร์จิ้นจะหดตัวใน 2Q-3Q25 ซึ่งทำให้หุ้นขาดปัจจัยบวกในระยะสั้นนี้
บริษัทมีมุมมองระมัดระวังมากขึ้นใน 2Q25 จากท่าทีชะลอคำสั่งซื้อของลูกค้า และผลกระทบจากภาษีการค้าอัตราชั่วคราวที่ 10% ดังนั้น บริษัทคาด GM ยังคงเผชิญแรงกดดันจากภาษีและความผันผวนของค่าเงิน แม้จะได้แรงหนุนบางส่วนจากราคาทูน่าที่ปรับลดลง QoQ นอกจากนี้ การขยายกำลังการผลิตใหญ่ ถูกเลื่อนออกไป โดยบริษัทได้ระงับการก่อสร้างโรงงานการผลิตแห่งใหม่ที่จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 21,000 ตันต่อปี รวมเป็น 80,000 ตันต่อปี เพื่อรอดูสถานการณ์นโยบายภาษีการค้า
เราคาดกำไร 2Q25 ลดลง YoY และ QoQ แรงกดดันจากประเด็นภาษี เนื่องจากสัดส่วนรายได้ของบริษัทในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ที่ส่งออกไปสหรัฐฯ 64% ของยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยง หรือ 56% ของยอดขายรวม โดยบริษัทไม่เห็นการเร่งการสั่งซื้อสินค้าใน 2Q25 และมีแนวโน้มคงตัวหรือชะลอตัว QoQ
Weekly
Commodities
ค่าระวางเรือเด่นสุด
น้ำมันดิบ: ราคาน้ำมันดูไบเฉลี่ยลดลงเล็กน้อย WoW เหลือ 64.15 เหรียญ/บาร์เรล จากความกังวลต่อดีมานด์โลกที่ชะลอตัวและคาดการณ์การเพิ่มกำลังผลิตจาก OPEC+
ค่าการกลั่น: GRM สิงคโปร์ขยับขึ้นเล็กน้อยเป็น 6.83 เหรียญ/บาร์เรล หนุนจาก gasoline (+0.25 WoW) และ jet fuel (+0.06 WoW) ขณะที่ diesel และน้ำมันเตาปรับลดลงตามอุปทานที่เพิ่มขึ้นหลังโรงกลั่นกลับมาเดินเครื่องและการส่งออกจากอินเดีย
เคมีภัณฑ์: ราคาขายผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ลดลง ทำให้ส่วนต่างราคาส่วนใหญ่แคบลง
ถ่านหิน: NEX เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง +1% WoW เป็น 102.49 เหรียญ/ตัน จากความต้องการใช้ในเอเชียที่เพิ่มขึ้น
ค่าระวางเรือ: BDI ทรงตัวที่ 1,343 จุด โดย Capesize +7% WoW แต่ Panamax และ Supramax ลดลงส่วน World Container Index เพิ่มขึ้นอีก +10% WoW เป็น 2,508 จุด สะท้อนดีมานด์เร่งขนส่งก่อนสงครามการค้ารอบใหม่
Fundamental view: แนะสะสม IVL จากแนวโน้มกำไร 2Q25 ที่ดีขึ้นต่อเนื่องตามค่าการกลั่นและ spread เคมีฟื้นตัว ขณะที่ TOP เด่นด้าน Valuation ถูก และได้ประโยชน์จากต้นทุนน้ำมันลดลง ส่วน PTTGC คาดกำไรดีขึ้น QoQ จาก margin ที่ฟื้นตัว และการควบคุมต้นทุนดีขึ้น
สรุปประเด็นจาก Quick take
Energy
กลุ่ม OPEC+ มีมติปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ 411,000 บาร์เรล/วันในเดือน ก.ค.
การตัดสินใจดังกล่าวจะส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบจากกลุ่ม OPEC+ เพิ่มขึ้นรวม 1.37 ล้านบาร์เรล/วันในช่วงเดือน เม.ย. - ก.ค. (คิดเป็น 62% ของการปรับลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจ 2.2 ล้านบาร์เรล/วันที่ตกลงกันเมื่อปี 2022)
View from fundamental: การปรับเพิ่มการผลิตดังกล่าวรวมทั้งความเสี่ยงที่อุปสงค์อาจชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกจากสงครามการค้าน่าจะเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง และน่าจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อหุ้น upstream O&G (PTTEP) แต่น่าจะส่งผลเชิงบวกต่อกลุ่มโรงกลั่น (ต้นทุนน้ำมันดิบถูกลง) โดยมี TOP เป็น preferred pick
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน