สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(29 พฤษภาคม 2568)-------บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับลดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของ บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด หรือ HMC เป็น ‘BBB(tha)’ จาก ‘BBB+(tha)’ แนวโน้มเครดิตยังคงเป็นลบ
การปรับลดอันดับเครดิต สะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) ของ HMC จะยังคงสูงกว่าระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิต ‘BBB+(tha)’ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์โพลีโพรพิลีน (PP) ที่อ่อนแอ และการฟื้นตัวของตลาดที่คาดว่าจะซบเซา อัตราส่วนหนี้สินที่สูงนี้เกิดจากการฟื้นตัวของกำไรจากการดำเนินงาน ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ช้ากว่าที่ฟิทช์คาดการณ์ เนื่องจากความท้าทายในธุรกิจปิโตรเคมี โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์โพลีโพรพิลีน แนวโน้มเครดิตเป็นลบ สะท้อนถึงความเสี่ยงในฟื้นตัวของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ HMC ในช่วงสองปีข้างหน้า
อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ HMC ได้รับการพิจารณารวมถึงการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นหนึ่งอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ของ HMC ที่ถูกปรับลดลงจาก ‘bbb(tha)’ เป็น ‘bbb-(tha)’ ซึ่งสะท้อนถึงแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนแก่ HMC ในด้านความสำคัญทางกลยุทธ์ (Strategic incentive) ที่อยู่ในระดับปานกลาง บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC (อันดับเครดิตที่ ‘AA-(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ; สถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ ‘a(tha)’) ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Methodology) โดย PTTGC เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ HMC โดยถือหุ้นร้อยละ 41
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
อัตราส่วนหนี้สินที่สูงจากการฟื้นตัวที่ช้าลง: ฟิทช์คาดว่า EBITDA ของ HMC ในปี 2568-2570 จะฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการฟื้นตัวของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์โพลีโพรพิลีนที่ยาวนานกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) อยู่ในระดับสูงถึง 11.8 เท่าในปี 2568 และ 8.3 เท่าในปี 2569 ซึ่งสูงกว่าระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตปัจจุบันที่ 5.3 เท่า ฟิทช์คาดว่า EBITDA จะยังอยู่ที่ระดับประมาณ 1 พันล้านบาทในปี 2568 และจะฟื้นตัวเล็กน้อยเป็น 1.3 พันล้านบาทในปี 2569 และ 1.5 พันล้านบาทในปี 2570
การฟื้นตัวของความต้องการที่ต่ำกว่าคาดอาจนำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิตลงอีก ในขณะเดียวกัน สถานะเครดิตโดยลำพังของ HMC ได้รับการสนับสนุนจากสถานะสภาพคล่องที่แข็งแกร่งผ่านการขยายเทอมการชำระเงินในการซื้อวัตถุดิบจากบริษัทแม่และความสัมพันธ์ทางธนาคารที่แข็งแกร่ง โดยมีวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนที่ไม่สามารถยกเลิกได้ประมาณ 14 พันล้านบาทจนถึงอย่างน้อยเดือนธันวาคม 2568 ฟิทช์คาดว่าหนี้สินสุทธิจะลดลงตั้งแต่ปี 2569 และอัตราส่วน EBITDA net leverage จะปรับตัวดีขึ้นเป็น 4.7 เท่าในปี 2570
ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์โพลีโพรพิลีนยังคงอ่อนตัว: ฟิทช์คาดว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์โพลีโพรพิลีนจะยังคงอ่อนแอในปี 2568 ท่ามกลางความไม่แน่นอนของความต้องการจากจีน การเติบโตเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และสภาวะกำลังการผลิตที่เกินความต้องการที่ยังคงอยู่ ฟิทช์เชื่อว่าความต้องการของผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะยังคงซบเซา โดยเฉพาะจากการที่ฟิทช์คาดการว่าการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศจีนจะยังคงต่ำกว่าในช่วงก่อนการเกิดสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด อย่างน้อยจนถึงปี 2569 ความตรึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นอาจกดดันความต้องการที่อ่อนแออยู่แล้ว ฟิทช์คาดว่าการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่จะยังคงสูงในปี 2568 และ 2569 แม้ว่าจะได้รับการชดเชยบางส่วนด้วยการปรับลดกำลังการผลิต
ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่ลดลง: ฟิทช์คาดว่าค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนจะลดลงเหลือประมาณ 600 ล้าน - 1 พันล้านบาทต่อปีในปี 2568-2569 (ค่าเฉลี่ยปี 2563-2567: 2.3 พันล้านบาท) เนื่องจากบริษัทฯ ไม่มีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ หลังจากโครงการ PP line 4 แล้วเสร็จในปี 2566 ฟิทช์เชื่อว่าบริษัทจะยังคงระมัดระวังในการลงทุน โดยเฉพาะในปี 2568-2569 เมื่อคาดว่าตลาดจะยังคงอ่อนแอ
การขยายเทอมการชำระเงิน: HMC ได้มีการขอขยายเทอมการชำระเงินในการซื้อวัตถุดิบจาก PTTGC เป็น 90 วันจาก 30 วัน ซึ่งขึ้นอยู่กับการอนุมัติจาก PTTGC จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินและสนับสนุนสภาพคล่องให้กับ HMC ฟิทช์คาดว่า HMC จะรักษาเทอมการชำระเงิน 90 วันสำหรับการซื้อวัตถุดิบในปี 2567 ซึ่งจะช่วยลดความต้องการเงินทุนหมุนเวียนได้ประมาณ 2.5 พันล้านบาทในปี 2568
การขายเงินลงทุนเพื่อลดหนี้: HMC อาจจะพิจารณาขายเงินลงทุนในหุ้น PTTGC ที่บริษัทฯ ถืออยู่ร้อยละ 1.85 ของหุ้น PTTGC ทั้งหมด เพื่อใช้ลดหนี้สินของบริษัทฯ อย่างไรก็ตาม ฟิทช์ไม่ได้พิจารณาการขายเงินลงทุนดังกล่าวในประมาณการของฟิทช์ เนื่องจากการขายเงินลงทุนดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอน และขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดหลักทรัพย์ โดยเงินลงทุนดังกล่าวมีมูลค่าตลาดประมาณ 1.6 พันล้านบาท การขายเงินลงทุนทั้งหมดใน PTTGC ณ ราคาตลาดปัจจุบันจะช่วยปรับปรุงอัตราส่วน EBITDA net leverage ให้เป็น 7.2 เท่าในปี 2569
มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม: HMC มุ่งเน้นในผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างและมีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งจะมีการแข่งขันที่น้อยกว่าและมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า โดยบริษัทฯ มีสัดส่วนการขายผลิตภัณฑ์เหล่านี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 50-56 ของยอดขายในปี 2563-2567 จากประมาณร้อยละ 35 ในปี 2558 บริษัทฯ มีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้สูงขึ้นเป็นประมาณร้อยละ 70 ของยอดขายภายในปี 2573 ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะมีราคาสูงกว่าผลิตภัณฑ์ที่เป็น Commodity grade โดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 10 ซึ่งทำให้บริษัทฯ มีอัตราส่วนกำไรสูงกว่าคู่แข่ง
ผู้นำในด้านเทคโนโลยีและการพัฒนาผลิตภัณฑ์: HMC ใช้เทคโนโลยีการผลิตโพลีโพรพิลีนชั้นนำของโลกจาก LyondellBasell Industries N.V. (อันดับเครดิตที่ BBB แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ นอกจากนี้ PP line 4 ใช้เทคโนโลยีการผลิตโพลีโพรพิลีนที่ทันสมัยที่สุด ซึ่งเป็นโรงงานเดียวในโลกที่สามารถใช้ Hexene co-monomer เพื่อเพิ่มคุณสมบัติของโพลีโพรพิลีน และเพิ่มชนิดของผลิตภัณฑ์สำหรับการใช้งานใหม่ๆ HMC เป็นผู้นำในการผลิตโพลีโพรพิลีนที่ใช้ในการผลิตท่อและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ในประเทศไทย และเป็นผู้ผลิตโพลีโพรพิลีนรายแรกของโลกที่ทำแผ่นฟิล์มไดอีเลคตริค
ความเชื่อมโยงกับ PTTGC: ฟิทช์ประเมินว่า PTTGC มีแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนในด้านความสำคัญทางกลยุทธ์ (Strategic incentive) แก่ HMC อยู่ในระดับปานกลาง ภายใต้หลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก HMC เป็นผู้รับซื้อโพรพิลีนรายใหญ่ของ PTTGC และเป็นบริษัทหลักในธุรกิจโพลีโพรพิลีนของ PTTGC นอกจากนี้ PTTGC ยังมีข้อตกลงที่จะไม่แข่งขันกับ HMC ในธุรกิจนี้ ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ในเชิงกลยุทธ์ของทั้งสองบริษัท ฟิทช์เชื่อว่า PTTGC มีแนวโน้มที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ HMC มากกว่าสัดส่วนการถือหุ้นหากจำเป็น
PTTGC ไม่ได้มีอำนาจควบคุมการบริหารทั้งหมดของ HMC เนื่องจาก LyondellBasell มีส่วนร่วมในการแต่งตั้งกรรมการและผู้บริหารระดับสูงของ HMC นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของ HMC ใช้เครื่องหมายการค้าของ LyondellBasell ทั่วโลก ดังนั้น ฟิทช์ประเมินแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนแก่ HMC ในด้านความสำคัญทางด้านการดำเนินงาน (Operational incentive) และแรงจูงใจทางกฎหมายอยู่ในระดับต่ำ
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
สถานะทางธุรกิจของ HMC แข็งแกร่งกว่าของบริษัท โกลบอล กรีน เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC (อันดับเครดิตภายในประเทศที่ A-(tha) แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ, สถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ bbb(tha)) ซึ่งเป็นผู้ผลิตไบโอดีเซลและโอลีโอเคมีในประเทศไทย
HMC มีความก้าวหน้าในด้านผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีมากกว่า และมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า แม้ว่าจะไม่พิจารณารวมธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน เนื่องจาก HMC มุ่งเน้นในผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างและมีลักษณะเฉพาะตัว อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินของ GGC ที่ต่ำกว่าช่วยชดเชยสถานะทางธุรกิจที่อ่อนแอกว่า GGC ยังมีความสามารถในการทำกำไรที่เสถียรกว่าจากการกำหนดราคาต้นทุนของเมทิลเอสเตอร์ ส่งผลให้สถานะทางเครดิตโดยลำพังของ GGC สูงกว่า HMC หนึ่งอันดับ แนวโน้มเครดิตเป็นลบของทั้งสองบริษัทสะท้อนถึงความเสี่ยงในการปรับลดอัตราส่วนหนี้สิน
ฟิทช์มองว่า HMC มีสถานะทางธุรกิจดีกว่าบริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG (อันดับเครดิตที่ ‘A-(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มผู้ผลิตโพลิเมอร์และพลาสติก ฟิทช์เชื่อว่าการเป็นผู้นำในธุรกิจโพลีโพรพิลีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วยชดเชยการที่บริษัทฯ มีความหลากหลายของธุรกิจของลูกค้าที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับ EPG อย่างไรก็ตาม HMC มีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่ามาก ซึ่งทำให้อันดับเครดิตโดยลำพังของ HMC อยู่ต่ำกว่าของ EPG
สมมติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ:
- ปริมาณการขายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณร้อยละ 8 ในปี 2568 (ปี 2567 ร้อยละ 8) และเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6-7 ต่อปี ในปี 2569-2570 เนื่องจากฟิทช์คาดว่าความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์จะฟื้นตัวในระดับที่สูงกว่า
- ส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์โพลีโพรพิลีนค่อนข้างคงที่ในปี 2568 แล้วค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในปี 2569-2570
- เงินลงทุนรวม 3.2 พันล้านบาท ในปี 2568-2570
- ขยายเทอมการชำระเงินสำหรับการซื้อวัตถุดิบจาก PTTGC เป็น 90 วันในปี 2568-2571 จาก 30 วัน
- ไม่มีการจ่ายเงินปันผลจนกระทั่งปี 2571
ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:
- แนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับกลับมาเป็นมีเสถียรภาพได้ หากฟิทช์คาดว่าอัตราส่วน EBITDA net leverage ของ HMC จะลดลงต่ำกว่า 5.3 เท่าภายในปี 2570 ในขณะที่แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจาก PTTGC ยังเหมือนเดิม
ปัจจัยลบ:
- กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ต่ำกว่าที่ฟิทช์คาด จากการฟื้นตัวของความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช้ากว่าที่คาด และ/หรือ การเพิ่มขึ้นของเงินลงทุนที่ใช้หนี้เป็นแหล่งเงินทุน หรือการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น อันเป็นผลให้อัตราส่วน EBITDA net leverage สูงกว่า 5.3 เท่าอย่างต่อเนื่องเกินปี 2570
- แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจาก PTTGC ที่ลดน้อยลง
สภาพคล่อง HMC มีหนี้สินอยู่ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2567 ซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ระยะสั้นจำนวน 1 พันล้านบาท หุ้นกู้จำนวน 8 พันล้านบาท และเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินจำนวน 6 พันล้านบาท โดยหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในปี 2568 มีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 4 พันล้านบาท (รวมเงินกู้ระยะสั้น) และกระแสเงินสดสุทธิที่คาดว่าจะติดลบในปี 2568 จะได้รับการสนับสนุนจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 281 ล้านบาท และวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนที่ไม่สามารถยกเลิกได้จากสถาบันการเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวน 1.4 หมื่นล้านบาท HMC วางแผนที่จะจัดหาเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติมที่มีวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนที่ไม่สามารถยกเลิกได้อีก 1.4 พันล้านบาทในปี 2568 คาดว่าจะชำระคืนหุ้นกู้มูลค่า 1.3 พันล้านบาทที่จะครบกำหนดชำระในปี 2568 ด้วยการออกหุ้นกู้ชุดใหม่
ข้อมูลของบริษัท
HMC เป็นผู้ผลิตโพลีโพรพิลีนรายแรกและรายใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยบริษัทฯ มีสายการผลิตโพลีโพรพิลีนอยู่ 4 สายการผลิต มีกำลังการผลิตรวมที่ 1.06 ล้านตันต่อปี โดย PP line 4 แล้วเสร็จและเริ่มการผลิตในเดือนธันวาคม 2565 ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ขายภายใต้เครื่องหมายการค้าของ LyondellBasell
อันดับเครดิตสาธารณะที่เชื่อมโยงกับอันดับเครดิตอื่นๆ
อันดับเครดิตของ HMC ได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหนึ่งอันดับจากการประเมินของถึงแรงจูงใจในการสนับสนุนในระดับ 'ปานกลาง' จากบริษัทแม่ PTTGC