AT THE OPEN (#ATO)
SET Index พักฐาน
ตั้งรับหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรยังเติบโตดี

Market Strategy
SET Index ยังน่าจะเป็นอีกหนึ่งวันที่พักตัวตามกรอบ 1160-1180 จุด แรงกดดันจากกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลงและ Sentiment ลบอ่อนๆจากประเด็นการเมืองในประเทศ หุ้นเด่นเลือก OSP และ ยังชอบ PR9

ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับลงต่อ 0.7% แรงกดดันมาจากข่าวกลุ่ม OPEC+ กำลังพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตในเดือน ก.ค.68 ซึ่งโอกาสที่จะเพิ่มระดับ 4.1 แสนบาร์เรลยังเป็นหนึ่งในทางเลือก ความชัดเจนต้องติดตามในการประชุม OPEC+ วันที่ 1 มิ.ย. 68 สถานการณ์ข้างต้นยังน่าจะเป็นแรงกดดันต่อหุ้นในกลุ่มพลังงานในวันนี้ แต่อย่างไรก็ตามยังมีมุมมองเดิมการย่อลงมาของ SPRC น่าจะเป็นจังหวะตั้งรับจากแนวโน้มค่าการกลั่นที่ยังคงฟื้นตัว

สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯผ่านร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณรายจ่ายของคุณทรัมป์ ซึ่งสำนักงบประมาณสหรัฐฯ เผยว่าจะทำให้รัฐบาลมีภาระหนี้เพิ่มขึ้น 3.8 ล้านล้านเหรียญฯ ใน 10 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันอยู่ที่ 36.2 ล้านล้านเหรียญฯ ถัดไปเตรียมเข้าสู่การพิจารณาในชั้นวุฒิสภา ประเมินการผ่านร่างงบประมาณข้างต้นน่าจะทำให้สถานะการคลังของสหรัฐฯ อ่อนแอลง เนื่องจากจะส่งผลให้หนี้สาธารณะต่อ GDP สหรัฐฯ มีโอกาสขึ้นจาก 124% เป็น 135% ใน 10 ปีข้างหน้าและส่งผลต่อ U.S. Bond Yield ยืนระดับสูง เป็นปัจจัยกดดันจะเป็นปัจจัยหนุนต่อ U.S. Bond Yield ปรับขึ้นในระยะยาว แต่อย่างไรก็ตามการตอบสนองของตลาด Bond ในระยะสั้นมีแรง Buy on Fact จาก U.S. Bond Yield 10 ปี ลดลง 6 bps มาที่ 4.52% และตลาดหุ้นสหรัฐฯ แกว่งทรงตัวในช่วง -0.04% ถึง +0.28% จึงไม่น่าจะสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นบ้านเราในวันนี้ และอาจทำให้หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าและไฟแนนซ์มีโอกาสรีบาวน์กลับ เราชอบ GPSC และ TIDLOR

การเมืองในประเทศต่อกรณีศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ความเสียหายจากคดีจำนำข้าว อาจเป็น Sentiment ลบอ่อนๆ ต่อบรรยากาศการลงทุน แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้ส่งผลต่อสถานะและการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาลแต่อย่างใด ซึ่งเชื่อว่าประเด็นสำคัญถัดไปอยู่ที่การพิจารณางบประมาณปี 69 ระหว่างวันที่ 28-31 พ.ค.68 ซึ่งจะต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของ ส.ส. ทั้งหมด

Market Summary
SET Index ปรับลง 6.44 จุด แรงกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับลง 1.1% โดยเป็นการลงของ PTTEP -1.95% BCP -0.7% ปรับลงตามราคาน้ำมันดิบ กลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC -0.8% GULF -0.5% BGRIM -2.9% และกลุ่มไฟแนนซ์ที่ได้ Sentiment ลบจาก U.S. Bond Yield ที่เร่งตัวกดดัน SAWAD -4.6% MTC -1.8% กลุ่มโรงพยาบาล -3% ที่ถูกแรงขายจากขาดปัจจัยใหม่หนุน ส่วนกลุ่มที่ Outperform กลุ่มท่องเเที่ยว MINT +3.5% AOT +0.7% ที่มีแรงซื้อกลับ และ OSP 4.83% แนวโน้มกำไร 2Q68 โตดี นักลงทุนสถาบันฯ ขายสุทธิ 955 ล้านบาท สวนทางต่างชาติซื้อสุทธิ 1.4 พันล้านบาท

DAILY Stock Pick
OSP
เราคาด 2Q68 โตต่อเนื่อง และ valuation น่าสนใจ
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 18.70 บาท
OSP คาดกำไร 2Q68 โตต่อเนื่องทั้ง YoY และ YoY จาก market share ที่ต่อเนื่อง 4 เดือนติด ล่าสุด เม.ย. 68 ที่ 45% ปรับตัวจากจุดต่ำสุดเมื่อ ธ.ค.67 ที่ 44.5% เนื่องจากปรับ กลยุทธ์ M-150 (ฝาเหลือง) ขวด 10 บาทที่กระแสตอบรับดี และอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นจาก product mix ที่ดีขึ้น
เราชอบ OSP เนื่องจาก กำไรปี 68 เติบโต 9%YoY ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PER 13.8 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ย้อนหลัง -1.75 S.D.) พร้อมปันผลปี 68 ที่สูงถึง 8% เป็นปัจจัยช่วยจำกัด Downside ราคาหุ้น

KEY FACTOR
ตลาดหุ้นเอเชียวานนี้ ปรับตัวลงตามแรงกดดันของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ นำโดย เอเชียเหนือ ญี่ปุ่น (-0.84%), เกาหลีใต้ (-1.22%) และไต้หวัน (-0.61%) ปรับตัวลงแรงจากแรงขายในหุ้นเทคโนโลยี ขณะที่ จีน (-0.22%) และฮ่องกง (-1.19%) อ่อนตัวจากความกังวลนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่อาจกดดันแนวโน้มเศรษฐกิจระยาว ฝั่ง ASEAN แกว่งผสมผสาน อินโดนีเซีย เป็นประเทศเดียวที่บวกขึ้น (+0.34%) หนุนจากแรงซื้อในหุ้นกลุ่มธนาคารและพลังงาน ขณะที่ตลาดอื่นๆ อ่อนตัวตามภาวะเสี่ยงทั่วโลก นำโดย ฟิลิปปินส์ (-1.28%), ไทย (-0.55%), เวียดนาม (-0.79%) และ มาเลเซีย (-1.15%) แม้ว่าเวียดนามผ่านพ้นการเจรจากับสหรัฐฯรอบสองพร้อมมีพัฒนาการเชิงบวก เตรียมเจรจารอบถัดไปเดือน มิ.ย.

EYES ON
20 พ.ค. : ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยูโรโซน เดือน พ.ค.
22 พ.ค. : ดัชนี PMI ภาคการผลิต/บริการ ยูโรโซน เดือน พ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุด 10 พ.ค.

นักกลยุทธ์ : ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์, ชาญชัย พันทาธนากิจ, ออมทรัพย์ โง้วศิริ