สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(16 พฤษภาคม 2568)------ECF เร่งเครื่องปรับโครงสร้างองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ บริหารกระแสเงินสด ลดต้นทุน เพิ่มความคล่องตัวการดำเนินธุรกิจ เสริมสร้างฐานะการเงินที่มั่นคง มุ่งเน้นจำหน่ายสินค้า        มาร์จิ้นสูง รักษาฐานลูกค้าต่างประเทศที่มีศักยภาพ รุกขยายตลาดในประเทศดันรายได้ สร้างการเติบโต ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 1/2568 รายได้รวม 106 ล้านบาท

          นายพชรฐณพงษ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) เปิดเผยว่า รายได้จากการขาย และรายได้รวมที่เกิดขึ้นในรอบไตรมาส 1 ปี 2568 ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 106.02 ล้านบาท และรายได้รวมอยู่ที่ 108.43 ล้านบาท สาเหตุที่สำคัญเนื่องจากบริษัทฯ อยู่ในช่วงการปรับโครงสร้างองค์กรและปรับเปลี่ยนแผนงานต่าง ๆ จึงมีกำลังการผลิตลดลงอันเนื่องมาจากลดกำลังการผลิตตามแผนงานของฝ่ายบริหาร พิจารณาทบทวนกลุ่มลูกค้าใหม่ เพื่อให้การขายสะท้อนกับต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมตามภาวะเศรษฐกิจและค่าแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้น ณ ปัจจุบันขณะนี้ จึงส่งผลให้ช่วงเปลี่ยนผ่านขณะนี้เกิดการลดลงของรายได้จากการขายอย่างมีนัยสำคัญ

ฝ่ายบริหารมีแผนงานที่จะแก้ไขผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ผ่านนโยบายลดต้นทุนการผลิตและปรับเปลี่ยนโครงสร้างการขายสินค้าโดยมุ่งเน้นไปยังการขายสินค้าที่สามารถสร้างอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง รวมถึงปรับองค์กรโดยลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน เพื่อการบริหารจัดการที่กระชับขึ้น รวดเร็วขึ้น

นอกจากนี้ ECF ยังให้ความสำคัญกับการปรับปรุงฐานะทางการเงินของบริษัทให้ดียิ่งขึ้น โดยเร่งเพิ่มกระแสเงินสดในการดำเนินงาน และเตรียมแผนปรับโครงสร้างทุนเพื่อลดต้นทุนทางการเงิน

"ECF อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งสำคัญ เพื่อให้สามารถปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าการปรับโครงสร้างธุรกิจในครั้งนี้           ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการ แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญที่จะผลักดันให้บริษัทสามารถพลิกฟื้นศักยภาพ สร้างความสามารถในการทำกำไร และรองรับการเติบโตในระยะยาวได้อย่างมั่นคง" นายพชรฐณพงษ กล่าว

ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ มีรายได้รวม 106 ล้านบาท และมีขาดทุนสุทธิ 76 ล้านบาท ทั้งนี้ผลประกอบการในไตรมาสนี้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยลดต้นทุนการดำเนินงานอย่างจริงจัง อาทิ ต้นทุนการขาย ต้นทุนการบริหาร ตลอดจนปรับเปลี่ยนโครงสร้างการขายสินค้า รูปแบบการขาย เพื่อลดผลกระทบจากยอดขายต่างประเทศที่ชะลอตัวลงตั้งแต่ปลายปี 2567 ผลกระทบจากการออกกฎระเบียบใหม่ของประเทศคู่ค้า และการชะลอตัวของสภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ยังคงส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง