เดินหน้าต่อสู่ 1240 จุด
TOP PICK PLANB / TRUE / CPALL
EXTERNAL FACTOR
วานนี้ตลาดหุ้นกลุ่ม TECH สหรัฐฯ พุ่งขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนี NASDAQ +1.6% ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบ BRENT ดีดตัวขึ้นราว 2.6% (เมื่อนับตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. 68 +5.6%MTD) หลังปัจจัยแวดล้อมยังไม่เห็นแรงกดดันเข้ามาเพิ่มเติม และมีแรงหนุนจาก 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่
จีน-สหรัฐฯ คลายความตึงเครียดทางการค้า น่าจะเป็น SENTIMENT บวกต่อเนื่อง
ปธน. ทรัมป์ เร่งทำดีลกับตะวันออกกลาง
ผ่อนคลายเรื่องเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน เม.ย.68 ขยายตัว +2.3%YOY ซึ่งต่ำกว่าคาด
INTERNAL FACTOR
ครม. ไฟเขียวออก G-TOKEN เบื้องต้นคาดมีวงเงิน 5,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะ ออกมาจำหน่ายได้ภายใน 1-2 เดือนนี้ช่วยให้รัฐบาลมีช่องทางใหม่ในการระดมทุน และ ส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของไทย
MSCI ประกาศหุ้นเข้าออก มีผลราคาปิด 30 พ.ค. 68 กลยุทธ์แนะนำหุ้นที่ถูกคัดเข้า ดัชนีอย่าง AWC น่าจะสามารถ OUTPERFORM SET ได้ในช่วงนี้ ส่วนหุ้นที่ถูกคัดออกจำกดัชนีบางตัวมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งกำไรเติบโตในอนาคต แนะนำทยอยสะสม เมื่อราคาลงมาลึกอย่าง CRC DOHOME
INVESTMENT STRATEGY
เทียบปัจจุบัน กับช่วงก่อนมีประเด็น RECIPROCALTARIFF(4 เม.ย. –13 พ.ค. 68) พบว่า ตลาดหุ้นโลก ขึ้นมาแล้วกว่า 7.9% ตลาดหุ้นสหรัฐ (NASDAQ) +14.9% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยัง LAGGARD กว่า +4.9% ทำให้น่าจะยังมีช่องว่างให้ขยับขึ้นต่อได้
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำทยอยสะสม หุ้นพื้นฐานแถว 2 ที่ราคายัง LAGGARD SET INDEX ตั้งแต่มีประเด็น RECIPROCALTARIFF ถึงปัจจุบัน (4 เม.ย. –13 พ.ค. 68) ที่ +4.5% คือ PLANB -22.9%, CENTEL - 17.9%, PTTEP -10.8%, BH -4.9%, AOT -3.2%, CPALL +0.6%, GULF +1.5%
สินทรัพย์เสี่ยงยังเปิดโหมด RISK-ON
วานนี้ตลาดหุ้นกลุ่ม TECH สหรัฐฯ พุ่งขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนี NASDAQ +1.6% ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ BRENT ดีด ตัวขึ้นราว 2.6% (เมื่อนับตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. 68 +5.6%MTD) หลังปัจจัยแวดล้อมยังไม่เห็นแรงกดดันเข้ามาเพิ่มเติม และมีแรงหนุนจาก 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่
1. จีน-สหรัฐฯ คลายความตึงเครียดทางการค้า น่าจะเป็น SENTIMENT เชิงบวกต่อเนื่องโดยสำนักเศรษฐกิจ ต่างๆ พากันปรับคาดผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน อาทิ
GOLDMAN SACHS ได้ปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ปี2025 ลงเหลือ 25% (เดิมคำด 45%) และปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2025 โต 1% (เดิมคาด 0.5%)
JP MORGAN ปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ปี 2025 ต่ำกว่า 50% และ ปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2025 โต 0.6% (เดิมคาด 0.2%)
MORGAN STANLEY ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์GDP จีนในปี 2025เป็น 4.5% (เดิม 4%)
UBS ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP จีนในปี 2025ขึ้นสู่ระดับ 3.7% –4% (เดิม 3.4%)
2. ปธน. ทรัมป์ เร่งทำดีลกับตะวันออกกลาง โดยซาอุดีอาระเบียได้ทำข้อตกลงการลงทุนกับสหรัฐในวงเงิน 600,000 ล้านดอลลาร์ขณะที่บริษัท NVIDIA CORP. และ ADVANCED MICRO DEVICES INC. เตรียม จัดหาชิปให้กับบริษัท HUMAIN ของซาอุดีอาระเบียสำหรับโครงการศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่
3. ผ่อนคลายเรื่องเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน เม.ย. 68 ขยายตัว +2.3%YOY ซึ่งต่ำกว่าคาดและชะลอตัวลงจาก เดือนก่อนที่ +2.4%YOY อย่างไรก็ตำมมุมองต่อทิศทำงดอกเบี้ยสหรัฐฯ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดย FEDWATCH TOOL ยังคงเทน้ำหนักปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน 9 และเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในปีนี้ (เท่ากับคาดการณ์ DOT PLOT)
ทั้ง 3 ปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นโลกและ COMMODITY ขึ้นได้ดี โดยเฉพาะราคาน้ำมัน +3% (7 วันทำการ +15%) ถือว่าดีต่อ SET ที่มีสัดส่วนหุ้นอิง COMMODITY 1 ใน 3 ของตลาด แนะนำ PTTEP, PTT, PTTGC, BCP, TOP
ปัจจัยในประเทศมีอะไรที่น่าติดตามบ้าง ... มาดูกัน
วานนี้รัฐบาลไฟเขียวการออก โทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (GOVERNMENT TOKEN : G-TOKEN) ภายใต้ชื่อ “ไทยแลนด์ดิจิทัลโทเคน” เป็นครั้งแรก เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการออมการลงทุนให้กับประชาชนใหม่ และเป็นการเพิ่มเครื่องมือในการระดมทุนของรัฐบาล ซึ่งเบื้องต้นจะมีวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลัง คาดว่าจะออกมาจำหน่ายได้ภายใน 1-2 เดือนนี้ และมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องกู้เงินในรูปแบบโทเคนดิจิทัล ภายใต้กรอบวงเงินกู้ เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2568 ที่ ครม. มีมติอนุมัติ เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 67 ซึ่งปัจจุบันระดับหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูง และเข้าใกล้กรอบวินัยการคลังที่ระดับ 70% จึงถือว่าการออก G-TOKEN ไม่เพียงแต่จะช่วยให้รัฐบาลมีช่องทางใหม่ในการระดมทุน แต่ยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินดิจิทัลของประเทศไทย
ส่วนอีกประเด็นในประเทศ คือ วานนี้ MSCI ประกาศหุ้นเข้าออก มีผลราคาปิด 30 พ.ค. 68 โดยมีรายชื่อ ดังนี้
MSCI GLOBAL STABDARD
เข้า: ไม่มี
ออก: BEM. CRC, KTC
MSCI GOBAL SMALL CAP
เข้า: AWC, BEM
ออก: AURA, BPP, DOHOME, GUNKUL, JAS, JMART, M, PRM
ซึ่งกลยุทธ์แนะนำหุ้นที่ถูกคัดเข้าดัชนีอย่าง AWC น่าจะสามารถ OUTPERFORM SET ได้ในช่วงนี้ ส่วนหุ้นที่ถูกคัดออกจากดัชนีบางตัวมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง กำไรเติบโตในอนาคต แนะนำทยอยสะสมเมื่อราคาลงมาลึกอย่าง CRC DOHOME
SET ขยับขึ้นต่อ...แนะหุ้นแถว 2 หวังขึ้นแรงตาม
เทียบปัจจุบัน กับช่วงก่อนมีประเด็น RECIPROCAL TARIFF (4 เม.ย. –13 พ.ค. 68) พบว่า ตลาดหุ้นโลก ขึ้นมาแล้วกว่า 7.9% ตลาดหุ้นสหรัฐ (NASDAQ) +14.9% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยัง LAGGARD กว่า +4.9% ทำให้น่าจะยังมีช่องว่างให้ขยับขึ้นต่อได้
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำทยอยสะสม หุ้นพื้นฐานแถว 2 ที่ราคายัง LAGGARD SET INDEX ตั้งแต่มีประเด็น RECIPROCAL TARIFF ถึงปัจจุบัน (4 เม.ย. – 13 พ.ค. 68) ที่ +4.5% คือ PLANB -22.9%, CENTEL -17.9%, PTTEP -10.8%, BH -4.9%, AOT -3.2%, CPALL +0.6%, GULF +1.5%
Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์