เติมพลัง (น้ำมัน) ให้ SET
TOP PICK PTTEP/ TRUE / KTB
EXTERNAL FACTOR
• วานนี้ตลาดหุ้นโลกมีการย่อตัวลง โดยฝั่งสหรัฐฯ ปรับตัวลงราว -0.8% ถึง -1.1% ส่วนในฝั่งยุโรปปิดตัวราว -0.4% หลังตลาดฯ อยู่ในช่วง WAIT & SEE รอประเมินท่าที ความชัดเจนของ FED คืนนี้ ต่อแนวโน้มทิศทางดอกเบี้ย
• สำหรับราคาน้ำมัน ดีดตัวขึ้นแรงกว่า 4% หลังปรับตัวลดลงมาต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยหนุน มีทั้งค่าเงิน DOLLAR ปรับตัวอ่อนค่า รวมถึงความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์
• ประเด็นการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ คาดหวังเห็นการผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งล่าสุด มีการยืนยันจากสหรัฐฯ และจีน คาดว่าจะนัดเจรจาในช่วงปลายสัปดาห์นี้
INTERNAL FACTOR
• เงินเฟ้อประจำเดือน เม.ย.68 ออกมาต่ำกว่าตลาดคาดและหดตัวครั้งแรกรอบ 13 เดือน -0.22%YOY ซึ่งต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ BOT ที่ 1-3% และหาก พิจารณาอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ที่ 1.97% ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนุนให้ กนง.มีโอกาส ลดดอกเบี้ยได้ง่ายขึ้นในอนาคต
• นโยบายการคลังยังมีมาตรการกระตุ้นได้ไม่มากเท่าที่ตลาดหวังไว้ โดยโครงการ "เที่ยวไทยคนละครึ่ง" ปรับใหม่ ใช้สิทธิ์ได้เฉพาะวันธรรมดา และลดจำนวนสิทธิเหลือไม่ ถึง 1 ล้านสิทธิและผิดหวังจากดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 ที่ถูกเลื่อนออกไปก่อน
INVESTMENT STRATEGY
• ตลาดหุ้นไทยมีแรงหนุนจากการเจรจาสหรัฐกับจีนที่จะเกิดขึ้นปลายสัปดาห์ และราคาน้ำมันขยับขึ้นมากว่า4% หนุนหุ้นไทยที่มีสัดส่วนอิงกับราคาถึง 1 ใน 3 ของตลาดฯ มีโอกาสขยับขึ้นต่อ
• ขณะที่ FUND FLOW เริ่มเข้ามากระจุกตัวในตลาดการเงินของไทยอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ ไทย วานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิสูงถึง 2.6 หมื่นล้านบาท (สูงสุดในปีนี้) และหลังสงกรานต์ ซื้อสะสมมาแล้ว 6.8 หมื่น ล้านบาท และสลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นและตลาด TFEX 3 ใน 4 วัน หลังสุด แนะนำสะสม 1. หุ้นน้ำมัน PTTEP, PTT, BCP, TOP 2. หุ้นกำไรเติบโตต่อเนื่อง SCC SCGP OSP และ 3. หุ้นราคาลงมาลึกกว่าพื้นฐานมาก AOT, CPALL
WAIT & SEE หวังเห็นข่าวดีเข้ามาช่วยหนุน
วานนี้ตลาดหุ้นโลกมีการย่อตัวลง โดยฝั่งสหรัฐฯ ปรับตัวลงราว -0.8% ถึง -1.1% ส่วนในฝั่งยุโรปปิดตัวราว -0.4% หลังตลาดฯ อยู่ในช่วง WAIT & SEE รอประเมินท่าทีความชัดเจนของ FED คืนนี้ ต่อแนวโน้มทิศทางดอกเบี้ย
เมื่อพิจารณาสัญญาณความเห็นของเจ้าหน้าที่ FED ล่าสุดเทียบกับเดือน มี.ค. พบว่ามีความ DOVISH เพิ่มขึ้นแต่ เล็กน้อย ขณะที่คาดการณ์จาก FEDWATCH TOOL ให้น้ำหนักเกือบ 100% มองว่า FED จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.5% ในการประชุมรอบเดือน พ.ค. 68 ส่วนการเริ่มปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกของปี อาจรอดูหลังมาตรการเรียกเก็บภาษี RECIPROCAL TARIFF มีผลบังคับใช้วันที่ 9 ก.ค. 68
สำหรับราคาน้ำมันวานนี้ ดีดตัวขึ้นแรงกว่า 4% หลังปรับตัวลดลงมาต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยหนุนมีทั้งค่าเงิน DOLLAR ปรับตัวอ่อนค่า จนล่าสุดอยู่ที่ 99.24 รวมถึงความกังวลความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ จากกรณีอินเดียเปิดฉากยิง ขีปนาวุธใส่ปากีสถาน เพื่อตอบโต้เหตุการณ์ก่อการร้ายในแคชเมียร์ อีกทั้งความตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังจากกองทัพอิสราเอลใช้ปฏิบัติการโจมตีเยเมนทางอากาศ เพื่อตอบโต้ต่อการที่กลุ่มฮูตียิงขีปนาวุธโจมตี สนามบินเบนกูเรียนของอิสราเอล อย่างไรก็ตาม SET INDEX มีสัดส่วนหุ้นกลุ่มน้ำมันสูงถึง 1 ใน 3 ของน้ำหนักตลาด ฯ โดยหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ PTTEP, PTT, PTTGC, TOP, SPRC, BCP
ขณะที่ประเด็นการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ คาดหวังเห็นการผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งล่าสุดมีการยืนยันจากสหรัฐฯ และจีน เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ ปธน.ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีโดยรัฐมนตีคลังสหรัฐฯ (สก็อตต์ เบสเซนท์) และผู้แทน การค้าสหรัฐฯ (เจมสัน กรีเออร์) จะเดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ เพื่อเจรจาการค้ากับ “จีน” โดยมี รองนายกรัฐมนตรี (เหอ ลี่เฟิง) เป็นผู้นำ
DIGITAL WALLET ไม่มาตามนัด + เงินเฟ้อพลิกหดตัวครั้งแรกรอบ 13 เดือน กดดัน เศรษฐกิจชะลอ ตัวในระยะถัดไป
วานนี้กระทรวงพาณิชย์รายงานเงินเฟ้อประจำเดือน เม.ย.68 ออกมาต่ำกว่าตลาดคาดและหดตัวครั้งแรกรอบ 13 เดือน -0.22%YOY, -0.21%MOM โดยรวมยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ BOT ที่ 1-3% และหาก พิจารณาอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเพิ่มขึ้นมาสู่ระดับ 1.97% ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนุนให้ กนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ยได้ง่าย ขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตามหากพิจารณา CORE CPI ออกมาสูงกว่าคาด +0.98%YOY ซึ่งอาจมองได้ว่าเศรษฐกิจไทยจริงๆ ยังดู ดีอยู่ และอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวมาจากอุปทางเป็นหลัก ซึ่งยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด จึงอาจยังไม่จำเป็นต้องเร่งแก้ปัญหา ผ่านการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากนักหลังจากที่ลดดอกเบี้ยมา 2 ครั้งติดต่อกันในปีนี้(ประชุม กนง. ครั้ง ถัดไปวันที่ 25 มิ.ย. 68)
ขณะที่ฝั่งนโยบายการคลังยังมีมาตรการกระตุ้นได้ไม่มากเท่าที่ตลาดหวังไว้ โดยวานนี้ครม. ไฟเขียวแคมเปญ AMAZING THAILAND GRAND TOURISM & SPORTS YEAR 2025 คาดรัฐบาลอัดฉีดงบ 3.5 พันล้านบาท เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นเม็ดเงินสัดส่วนที่น้อยมาก โดยโครงการ "เที่ยวไทยคนละครึ่ง" ปรับใหม่ ใช้สิทธิ์ได้เฉพาะวัน ธรรมดาและลดจำนวนสิทธิเหลือไม่ถึง 1 ล้านสิทธิอีกด้วย ขณะที่โครงการดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 กลุ่ม อายุตั้งแต่ 16- 20 ปีก็ถูกเลื่อนออกไป ซึ่งทำให้ตลาดผิดหวังไม่น้อย
โดยฝ่ายวิจัยฯ กังวลว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีโอกาสสูงที่จะโตแผ่วลงตามหลายสำนักเศรษฐกิจที่ประเมินไว้ราว 1-2% จากทุกภาคส่วนที่ชะลอลง ทั้งภาคส่งออก การบริโภคของประชาชน จำนวนนักท่องเที่ยว และการเบิกจ่ายงบประมาณ ลงทุนปี 2568 แผ่วกว่าปี2566 ในช่วงเวลาเดียวกัน อีกทั้งมูลค่าเพดานหนี้สาธารณะของไทย/GDP ก็อยู่ระดับสูง 64.21%(เข้าใกล้เพดานที่ 70%) ทำให้มีโอกาสสูงที่จะต้องขยายเพดานหนี้เพิ่มขึ้นตาม รมต.คลังบอกไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่ง อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อระดับ CREDIT RATING ของประเทศไทยในอนาคต
ตลาดดูไม่ได้กังวลกับเศรษฐกิจใน 1Q68 แต่ความเสี่ยงผลกระทบ TRADE WAR ยังทิ้งไม่ได้ ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสบวก เช่นเดียวกับตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ที่บวกเกือบทุกประเทศ โดยแรงหนุนจากการเจรจา สหรัฐฯ กับจีนที่จะเกิดขึ้นปลายสัปดาห์ และราคาน้ำมันขยับขึ้นมาเกือบ 5% หนุนหุ้นไทยที่มีสัดส่วนอิงกับราคาถึง 1 ใน 3 ของตลาดฯ มีโอกาสขยับขึ้นต่อ
ขณะที่ FUND FLOW เริ่มเข้ามากระจุกตัวในตลาดการเงินของไทยอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ไทย วานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิสูงถึง 2.6 หมื่นล้านบาท (สูงสุดในปีนี้) และหลังสงกรานต์ ซื้อสะสมมาแล้ว 6.8 หมื่นล้านบาท และสลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นและตลาด TFEX 3 ใน 4 วัน หลังสุด
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำสะสมหุ้น 3 ธีม คือ 1). หุ้นน้ำมัน PTTEP, PTT, BCP, TOP 2). หุ้นกำไรเติบโตต่อเนื่อง SCC SCGP OSP 3). ทยอยสะสมหุ้นราคาลงมาลึกกว่าพื้นฐานมาก AOT, CPALL
Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์