สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(30 เมษายน 2568)----------คุณคมสัน ผลานุสนธิ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แอสเซท พลัส กล่าวว่า “เพื่อสร้างความมั่นใจในกระบวนการบริหารและจัดการกองทุนอย่างมืออาชีพ ทางบลจ.แอสเซท พลัส ได้มีการดำเนินการจำหน่ายทรัพย์สินที่เหลืออยู่และชำระเงินคืนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นการชำระเงินคืน ก่อนถึงกำหนดการเดิม (จากเดิม วันที่ 8 ตุลาคม 2568) มาเป็นวันที่ 30 เมษายน 2568 ทั้งนี้ ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับเงินต้นคืนครบถ้วน พร้อมผลตอบแทนส่วนเพิ่มทั้งหมด 0.40% เมื่อคิดจากเงินลงทุน ณ วันที่ 16 กรกฎาคม 2567 (ส่วนที่ไม่รวมการทำ Set Aside ของตราสาร EA) โดยทาง บลจ. โดยการชำระคืนดังกล่าว ไม่รวมส่วนของการแยกตราสารหนี้ของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ซึ่งได้มีการแยกออกเป็นทรัพย์สินเฉพาะ (Side Pocket) ทางบลจ.ได้ดำเนินธุรกรรมสัญญาให้สินเชื่อ (Credit Facility) กับกลุ่มบริษัทย่อยทั้งหมดของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมหนุมาน จำนวน 5 บริษัท โดยกำหนดการชำระหนี้แบบทยอยชำระคืนเป็นรายเดือน (Monthly Amortizing Repayment) ซึ่งมีกำหนดครบระยะเวลา 36 เดือน ปัจจุบันบริษัทดังกล่าวได้ชำระหนี้อย่างต่อเนื่องมาแล้วเป็นระยะเวลา 8 เดือนโดยไม่มีปัญหาใด ๆ ซึ่งสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่มั่นคงของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมหนุมาน ทั้งนี้ ทางบลจ.แอสเซท พลัส ยังคงมุ่งมั่นในการบริหารจัดการกองทุนอย่างมืออาชีพ ด้วยความโปร่งใส และความรับผิดชอบสูงสุด เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนในทุกสถานการณ์ อีกทั้งยังมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ พร้อมสร้างความเติบโตไปพร้อมกับนักลงทุนในระยะยาวครับ” คุณคมสันกล่าว
บลจ. แอสเซท พลัส มองตลาดหุ้นไทยเสี่ยงขาลงจำกัด ชูโอกาสสะสมลงทุนระยะยาว พร้อมเปิดตัว 2 กองทุนใหม่เน้นสินทรัพย์ยั่งยืน
คุณทิพย์วดี อภิชัยสิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวนวยการ บลจ. แอสเซท พลัส กล่าวว่า “นับตั้งแต่ต้นปี 2568 ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงกว่า 17% ท่ามกลางความกังวลของนักลงทุนต่อภาวะเศรษฐกิจไทยที่เผชิญแรงกดดันจากภาคการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่ซบเซา โดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งชะลอตัวลงจากผลกระทบของสงครามการค้า นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวไทยยังมีแนวโน้มอ่อนตัวจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ต่ำกว่าคาด อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนักวิเคราะห์หลายสำนักเริ่มมีการปรับลดประมาณการ GDP ของไทย รวมถึงปรับลดคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งสะท้อนว่าตลาดได้ตอบรับข่าวร้ายไปพอสมควรแล้ว ทำให้มองว่าความเสี่ยงขาลงของตลาดหุ้นไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
แม้ในระยะสั้น ตลาดหุ้นไทยอาจยังขาดปัจจัยบวกที่จะผลักดันดัชนีกลับไปสู่ระดับ 1,400–1,500 จุดได้ในทันที แต่เมื่อพิจารณาในเชิงรายบริษัท พบว่ามีหลายบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและราคาหุ้นยังอยู่ในระดับน่าสนใจ แม้ปีนี้ผลตอบแทนอาจไม่สูงนักจากกำไรที่เติบโตจำกัด แต่ถือเป็นจังหวะที่ดีในการทยอยสะสมเพื่อโอกาสการเติบโตในอนาคต โดยหากมองในกรอบการลงทุนระยะกลางถึงยาว 3–5 ปี ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจได้ แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะยังคงเผชิญความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง อาทิ ปัญหาสังคมสูงวัย ระดับหนี้ครัวเรือนที่สูง และการสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่” คุณทิพย์วดีกล่าว
เพื่อเสริมโอกาสในการลงทุนพร้อมโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน บลจ.แอสเซท พลัส เปิดตัว 2 กองทุนใหม่ ได้แก่กองทุนเปิด แอสเซทพลัส ผสมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (ASP-MIX ThaiESGX) ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ไทยที่ได้รับการยอมรับด้าน ESGพร้อมปรับพอร์ตตามสภาวะตลาดอย่างยืดหยุ่นด้วยทีมผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีและลดโอกาสขาดทุนในสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย
กองทุนเปิด แอสเซทพลัส ปันผล หุ้นไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (ASP-DEQ ThaiESGX) ลงทุนในหุ้นที่ได้รับการยอมรับด้าน ESG และหุ้นที่มีปันผลสูง บริหารแบบ Active เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาว พร้อมรับผลตอบแทนที่เติบโตไปกับความยั่งยืน
โดยทั้ง 2 กองทุน บริหารโดยผู้เชี่ยวชาญการลงทุนหุ้นไทย และการใช้ Investment Scorecard ในการคัดเลือกหุ้นแบบเชิงลึก เพื่อวิเคราะห์คุณภาพและแนวโน้มความเติบโตของธุรกิจ มาพร้อมกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในปี 2568 สูงสุดถึง 600,000 บาท แบ่งเป็น 2 วงเงินลดหย่อนภาษีจาก ThaiESGX
วงเงินแรก เงินลงทุนใหม่ ซึ่งสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท
วงเงินที่สอง สำหรับผู้สับเปลี่ยนจากกองทุน LTF เดิม โดยให้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท แบ่งเป็นใช้สิทธิในปี 2568 จำนวน 300,000 บาท และทยอยลดหย่อนอีก 200,000 บาท ในส่วนที่เหลือในปีที่ 2-5 จำนวนปีละไม่เกิน 50,000 บาท ซึ่งจะ IPO วันที่ 2–8 พฤษภาคม 2568 นี้