Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

129

 


ตลาดแกว่งแคบรอความชัดเจน จากหลายประเด็น
TOP PICK KKP / BDMS / ADVANC


EXTERNAL FACTOR
GLOBAL INDICES

• วานนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวในกรอบแคบๆ หลังการเจรจาทางภาษีของสหรัฐฯ กับหลายประเทศ ยังไม่มีความคืบหน้า บวกกับไร้ปัจจัยหนุนเพิ่มเติม
• อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของ TRADE WAR ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเริ่มเห็นแรงกดดันต่อภาคค้าระหว่างประเทศแล้ว โดยเฉพาะ “จีน” ที่มีการหยุดการผลิตในโรงงานหลายแห่ง โดย CONSENSUS คาดการณ์ PMI ภาคการผลิตของจีนจะปรับตัวลดลงมาอยู่ในโซนหดตัวที่ 49.7 จุด อีกทั้งบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือจากจีนไปสหรัฐฯ มีจำนวนลดลงจากจุดพีคกว่า 40% ในปีนี้

INTERNAL FACTOR
• วันพรุ่งนี้ (30 เม.ย. 68) เวลา 14.00 น. มีกำหนดประชุม กนง. ครั้งที่ 2/2568 โดยCONSENSUS ให้น้ำหนัก 81% คาดว่าจะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยลงมาสู่ระดับ1.75% นอกจากนี้ยังมีสัญญาณจาก BOND YIELD 10Y ของไทยล่าสุดขยับลงมาอยู่ที่ 1.9% ซึ่งต่ำกว่า POLICAY RATE ปัจจุบันที่ 2.0%
• อย่างไรก็ตาม กรณีที่บ้านเรามีการลงดอกเบี้ยตามคาดการณ์ มีโอกาสที่ SET จะไม่พุ่งขึ้นแรงเมื่อเทียบกับภาวะปกติ เป็นเพราะตลาดอาจรับรู้ไปในระดับหนึ่งแล้วนอกจากนี้น่าจะเห็นการปรับลดประมาณ GDP GROWTH ของไทยในนี้ลงมา
• กรณีที่ไทยปรับลดดอกเบี้ยเร็วกว่าFED อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้ในช่วงสั้นๆ

INVESTMENT STRATEGY
• ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นเดือน ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ปรับตัวลงแรงตาม FLOW ต่างชาติที่ขายสุทธิ เฉกเช่นประเทศอื่นในเอเชีย เนื่องจากมีความคาดหวังจากเม็ดเงิน THAIESGX ในช่วง 2 เดือนหลังจากนี้(พ.ค.-มิ.ย.68) ที่หลายฝ่ายคาดกันว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาราว 1-2 หมื่นล้านบาท
• ส่วนแนวรับทางพื้นฐาน ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินภายใต้ EPS68F ที่หัก DOWNSIDE จากค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันดิบWTI ในปีนี้ที่ถูกกว่าปีก่อนหน้าราว 10 เหรียญฯ จะเหลือ 80 บาท/หุ้น และอิง MEYG 5.8% (ระดับสูงสุดตลอดกาล) จะได้แนวรับทางพื้นฐานที่ระดับ 1026 จุด แต่ถ้าลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้ง เหลือ 1.75% จะได้แนวรับทางพื้นฐานที่ระดับ 1060 จุด(ซึ่งอยู่ระดับใกล้เคียงดัชนีปัจจุบัน)

 

ปัจจัยแวดล้อมยังไร้แรงหนุน
วานนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวในกรอบแคบๆ โดยในฝั่งสหรัฐฯ ปิดตัวราว -0.1% ถึง +0.4% ส่วนในฝั่งยุโรปปรับตัวขึ้นเล็กน้อยราว +0.02% ถึง +0.5% ขณะที่ไทยขยับขึ้น +0.05% หลังการเจรจาทางภาษีของสหรัฐฯ กับหลายประเทศ ยังไม่มีความคืบหน้า บวกกับไร้ปัจจัยหนุนเพิ่มเติมอย่างไรก็ตาม ผลกระทบของ TRADE WAR ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเริ่มเห็นแรงกดดันต่อภาคค้าระหว่างประเทศแล้ว โดยเฉพาะ “จีน” ที่มีการหยุดการผลิตในโรงงานหลายแห่ง โดย CONSENSUS คาดการณ์ PMIภาคการผลิตของจีนจะปรับตัวลดลงมาอยู่ในโซนหดตัวที่ 49.7 จุด อีกทั้งบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือจากจีนไปสหรัฐฯมีจำนวนลดลงจากจุดพีคกว่า40% ในปีน


ขณะที่ BLOOMBERG คาดว่าการเพิ่มภาษีจีน-สหรัฐฯ จะทำให้การขนส่งสินค้าลดลงถึง 60% และน่าจะเห็นผลกระทบชัดเจนเดือน พ.ค. 68 ส่วนองค์การการค้าโลกเตือนว่าการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจลดลงถึง 80% ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย

คาดหวัง กนง. ลดดอกเบี้ย พยุงเศรษฐกิจไทย
วันพรุ่งนี้ (30 เม.ย. 68) เวลา 14.00 น. มีกำหนดประชุม กนง. ครั้งที่ 2/2568 โดย CONSENSUS ให้น้ำหนัก 81%คาดว่าจะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยลงมาสู่ระดับ 1.75% นอกจากนี้ยังมีสัญญาณจาก BOND YIELD 10Y ของไทยล่าสุดขยับลงมาอยู่ที่ 1.9% ซึ่งต่ำกว่า POLICAY RATE ปัจจุบันที่ 2.0%


อย่างไรก็ตาม กรณีที่บ้านเรามีการลงดอกเบี้ยตามคาดการณ์มีโอกาสที่ SETจะไม่พุ่งขึ้นแรงเมื่อเทียบกับภาวะปกติเป็นเพราะตลาดอาจรับรู้ไปในระดับหนึ่งแล้ว นอกจากนี้น่าจะเห็นการปรับลดประมาณ GDP GROWTH ของไทยในนี้ลงมา เช่นเดียวกับหลายๆ เศรษฐกิจ จากความไม่แน่นอนของนโยบายตั้งกำแพงภาษีสหรัฐฯ

ในทางกลับกัน สำหรับทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ FEDWATCH TOOL ยังคงให้น้ำหนักมากกว่า 90% คาด FED คงดอกเบี้ยในการประชุมรอบวันที่ 7 พ.ค. นี้ซึ่งในกรณีที่ “ไทย” ปรับลดดอกเบี้ยเร็วกว่า “FED” อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้ในช่วงสั้นๆ


ตลาดแกว่งแคบรอความชัดเจน จากหลายปัจจัยกดดันมูลค่าซื้อขายเบาบางในช่วงนี้
วานนี้ตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าซื้อขายต่ำเพียง 2.8 หมื่นล้านบาท จากที่นักลงทุนรอความชัดเจนของหลายปัจจัย ทั้งTRADE TARIFF 2.0, เศรษฐกิจมีโอกาสชะลอตัวลงรวมถึงไทย, การประชุม กนง. 30 เม.ย.68 และการเปิดกองTHAIESGX สำหรับการโยกย้าย/ซื้อ เพื่อลดหย่อยภาษี จึงทำให้ FLOW ต่างชาติยังไม่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในเดือนนี้โดยถูกขายสุทธิ 550 ล้านเหรียญฯ เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆที่ถูกขายสุทธิอย่างหนักเช่นกัน อาทิ เกาหลีใต้ ไต้หวันอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม


อย่างไรก็ตามผลตอบแทนตั้งแต่ต้นเดือน ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ปรับตัวลงแรงตาม FLOW ต่างชาติที่ขายสุทธิ เฉกเช่นประเทศอื่นในเอเชีย เนื่องจากมีความคาดหวังจากเม็ดเงิน THAIESGX ในช่วง 2 เดือนหลังจากนี้(พ.ค.-มิ.ย.68) ที่หลายฝ่ายคาดกันว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาราว 1-2 หมื่นล้านบาท ซึ่งฝ่ายวิจัยฯคาดว่ามีความเป็นไปได้ เนื่องด้วยหากเปรียบเทียบกับ NAV กองทุน THAIESG ที่เริ่มขายตั้งแต่ต้น ปี 2567 มียอด NAV ราว3.3 หมื่นล้านบาท(จำนวนเงินที่สามารถซื้อลดหย่อยภาษีเท่ากัน คือ 3 แสนบาท/คน/ปี) อีกทั้งตลาดฯเตรียมมีมูลค่าซื้อขายที่เพิ่มขึ้นจากการที่หุ้นใน UNIVERSE ของ กอง THAIESGX และ LTF ที่แตกต่างกัน โดยมีโอกาสเห็น NAV โยกย้ายจาก LTF มาสู่THAIESGX ราว 50%ของ NAV เดิม(8 หมื่นล้านบาท)

 

ขณะที่ในมุมแนวรับทางพื้นฐาน ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินภายใต้ EPS68F ที่หัก DOWNSIDE จากค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันดิบWTI ในปีนี้ที่ถูกกว่าปีก่อนหน้าราว 10 เหรียญฯ จะเหลือ 80 บาท/หุ้น และอิง MEYG 5.8% (ระดับสูงสุดตลอดกาล)จะได้แนวรับทางพื้นฐานที่ระดับ 1026 จุด แต่ถ้าลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้ง เหลือ 1.75% จะได้แนวรับทางพื้นฐานที่ระดับ 1060 จุด(ซึ่งอยู่ระดับใกล้เคียงดัชนีปัจจุบัน) ถือเป็นโอกาสสะสมสำหรับนักลงทุนที่หวังผลกำไรระยะ
กลาง-ยาว


Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้