ภาวะตลาด : SET Index วันศุกร์บวกอยู่ในกรอบ 1151.65-1161.03 ปิดตลาดที่ 1159.00 (+12.14 จุด หรือ +1.06%) หนุนโดยหุ้นอิเลคทรอนิกส์ ซึ่งได้อานิสงค์จากแรงกดดันสงครามการค้าที่ผ่อนคลายลง นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ +1.63 พันลบ. ส่วนต่างชาติยังคงขายสุทธิ -1.86 พันลบ.

ปัจจัยต่างประเทศ
+ ความตึงเครียดทางการค้าสหรัฐ-จีนผ่อนคลายลง ล่าสุดมีข่าวว่ารัฐบาลจีนได้ยกเว้นภาษีนา เข้า 125% สำหรับสินค้าจากสหรัฐบางรายการ ขณะที่ก่อนหน้าทรัมป์ ระบุว่าภาษีศุลกากรนา เข้าสินค้าจากจีนจะต่ำกว่า 145% อย่างมาก และเมื่อ 25 เม.ย.ทรัมป์ กล่าวว่าสหรัฐใกล้บรรลุข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่นแล้ว ขณะที่ญี่ปุ่นรักษาท่าที โดยคณะเจรจาญี่ปุ่นจะเดินทางเยือนกรุงวอชิงตันเพื่อเจรจาการค้ารอบที่ 2 เป็นเวลา 3 วัน เริ่มพุธที่ 30 เม.ย.นี้
- ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเดือนเม.ย.ต่ำสุดในรอบ 32 เดือน โดยลดเป็น 52.2 จาก 57.0 เดือนมี.ค. แต่สูงกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 50.8
- ผู้บริโภคในสหรัฐคาดเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นใน 1 ปี และ 5 ปี ข้างหน้า โดยคาดว่าเงินเฟ้อสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 6.5% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์เดือนมี.ค.ที่ 5.0% และคาดการณ์เงินเฟ้อเพิ่มเป็น 4.4% ใน 5 ปีข้างหน้า สูงกว่าคาดการณ์เดือนมี.ค.ที่ 4.1%+ 73% ของบจ.ใน S&P 500 รายงานกำไรดีกว่าคาด ข้อมูลจาก LSEG ระบุว่าบริษัทในดัชนี S&P500 ที่รายงานผลประกอบการออกมาแล้ว 179 บริษัทนั้น มี 73%ที่มีผลประกอบการดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ หุ้นเทคโนโลยียังหนุนตลาดหุ้นสหรัฐ โดยเฉพาะกลุ่ม "Magnificent Seven"
• ในระยะสั้นราคาน้ามันดิบยังถูกกดดันจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันดิบ WTI & BRENT วันศุกร์ขยับขึ้นเล็กน้อยเป็น 63-67 US$/bbl สัญญาทองคำอ่อนลงเป็น 3318.76 US$/ออนซ์ ค่าเงิน US$ ทรงที่ 99.58 เงินบาท/US$ อ่อนเป็น 33.51 ด้าน US Bond Yield 10 ปี ลดเป็น 4.29% ดัชนรี าคาถ่านหิน (NC) ขยับขึ้นเล็กน้อยสู่ 95.35 (สูงสุด 149) ดัชนี Baltic Dry Index ปรับขึ้นต่อเป็น 1373 (สูงสุด 1669) เป็น Sentiment บวกกับ PSL, TTA
• ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐสาคัญที่ติดตามสัปดาห์นี้ : ดัชนี PCE, การจ้างงานภาคเอกชน และจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนเม.ย., จีดีพี 1Q25 ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม BOJ, ดัชนี PMI ภาคผลิตเดือนเม.ย.และเงินเฟ้อเบื้องต้นเดือนเม.ย.ของยูโรโซน ฯลฯ

ปัจจัยในประเทศ & ข่าวหุ้นเด่น
• ติดตามผลประชุมกนง.ประชุม 30 เม.ย.นี้ ซึ่งเราคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เป็น 1.75% (จากปัจจุบันที่ 2.00%) รวมถึงอาจมีการปรับมุมมองแนวโน้มศก.ไทย หลังตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำกว่าคาดใน YTD, ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว, มีความไม่นอนเกี่ยวกับสงครามการค้า ขณะที่ประสิทธิผลของมาตรการกระตุ้นศก.ต่ำในช่วงภาวะศก.ซบเซา…ดอกเบี้ยลดเป็น Sentiment บวกกับกลุ่มไฟแนนซ์ หุ้นเด่น MTC, กลุ่มที่มีหนี้สูง หุ้นเด่น BGRIM, MINT, CPALL, TRUE เป็นต้น รวมถึงบวกกับหุ้นที่จ่ายปันผลสูงด้วย
•/+ ปัจจัยติดตาม : การเจรจาภาษีการค้าไทย-สหรัฐ ขณะนี้รอว่าจะได้คิวเมื่อไร, รายงานงบ real sectors, สถานการณ์การเมืองไทย (การปรับครม.), การแจกเงินดิจิตอลเฟส 3 (มีข้อเสนอให้ยกเลิกแล้วนา เงินไปใช้ส่วนอื่น), มาตรการ “เราเที่ยวด้วยกัน”, การเปิดประมูลโครงการภาครัฐ ฯลฯ

กลุยทธ์ :
ยังต้องระวังการแกว่ง; ยืนเหนือ 1160 ได้ ลุ้น 1174-1176 หรือสูงกว่า...กลยุทธ์หลักยังเป็นการถือครองหุ้น Defensive & Domestic Play โดยหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ ADVANC, CPALL, CK, STECON, PR9, BDMS, KTB, TTB, MTC, BEM เป็นต้น ส่วนการเล่นรอบแบบเข้าไว-ออกไว ซื้อตามด้วยค่าบวกของดัชนีและราคาหุ้น การบวกต่อจะมีแนวต้านถัดไป 1174-1176, 1180-1185, 1200 ส่วนค่าลบมีแนวรับ 1143, 1127, 1118

หุ้นพื้นฐานแนะนำ :
CPALL (ราคาปิด 50.25 บาท) – คาด Core profit 1Q25 โต +11% y/y เป็น 6.7 พันลบ. โดยเป็นการเติบโตทั้งธุรกิจร้านสะดวกซื้อ และCPAXT (Makro & Lotus’) เนื่องจากสินค้าอิงกับการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน และคาดว่าไตรมาสนี้มีกำไรจาก FX ราว 150 ลบ. ส่งผลให้กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 6.9 พันลบ. เติบโต +8% y/y โดยรวมถือว่า CPALL เป็นหุ้นค้าปลีกที่มี SSSG ที่ดีกว่ากลุ่ม ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายและท่องเที่ยวในประเทศของรัฐบาล และธุรกิจมีความเป็น Defensive เราแนะนำ ซื้อลงทุน ให้ราคาพื้นฐาน 69 บาท

นักวิเคราะห์&กลยุทธ์: อาภาภรณ์ แสวงพรรค : arparporns@dbs.com : Tel 02 587 7829