Company Note
Osotspa
แนวโน้มกำไร 1Q25F ดีกว่าคาด, ส่วนแบ่งการตลาดรายเดือนเริ่มเพิ่มขึ้นเทียบกับ ธ.ค.24
เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” จาก 1) แนวโน้มกำไรสุทธิ 1Q25F เติบโตดีกว่าคาดจากอัตราทำกำไรที่เพิ่มขึ้นและ energy drink ต่างประเทศที่มียอดขายเติบโตโดยเฉพาะเมียนมา 2) เราเชื่อว่ากลุ่มผู้บริโภคเครื่องดื่มพลังงานค่อนข้างอ่อนไหวกับราคาขาย เรามองเป็นโอกาสดีที่จะดึงส่วนแบ่งการตลาดได้เพิ่มขึ้น จากบริษัทเน้นราคาขาย 10 บาท จำหน่ายช่องทาง traditional trade ซึ่งเป็นตลาดที่มีกลุ่มผู้บริโภคเครื่องดื่มพลังงานที่ใหญ่กว่า และเราคาดว่ามีผลกระทบเล็กน้อยในการกินส่วนแบ่งการตลาดของ M-150 เอง ที่ราคา 12 บาท ที่เน้นจำหน่ายทาง modern trade โดยส่วนแบ่งการตลาดรวมของกลุ่ม M-150 เริ่มดีขึ้นโดย มี.ค.อยู่ที่ 44.9% เทียบกับ ธ.ค.24 อยู่ที่ 44.4%
คาดกำไรสุทธิ 1Q25F เพิ่มขึ้น YoY, QoQ จากอัตราทำกำไรที่ดีขึ้น
คาดกำไรสุทธิ 1Q25F ที่ 1,209 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +46%YoY, +113% QoQ โดยหากไม่รวมรายการพิเศษจากการขายธุรกิจขวดแก้วในเมียนมาจำนวน 250 ล้านบาท กำไรหลักจะอยู่ 959 ล้านบาท +16%YoY , +56%QoQ โดยรายได้รวมลดลง 7%YoY แต่เพิ่มขึ้น 6% QoQ มาจาก 1)กลุ่มเครื่องในประเทศลดลง -10%YoY โดย energy drink ลดลงจากการปรับสต๊อกสินค้าราคา 12 บาทลดลง และเริ่มออกสินค้าราคา 10 บาท ส่วนแบ่งการตลาดลดลงเล็กน้อย 20bps อยู่ที่ 44.8% จาก 4Q24 ที่ 45% แต่ energy drink ต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นประมาณ 20% YoY โดยเฉพาะในเมียนมา เนื่องจากมีการปรับราคาขายตามค่าเงินในช่วง Q2-Q4’24 ในขณะที่ปริมาณการขายเพิ่มขึ้นหนึ่งหลัก 2) ธุรกิจ personal care เติบโต +10%YoY จากการออกพัฒนาสินค้าใหม่ในกลุ่ม Babi mild ในการ Collab กับแคร์แบร์ ส่งผลยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น แต่ QoQ ลดลงจากช่วง low seasonal 3) ธุรกิจ OEM รับจ้างผลิตสินค้าขวดที่ลดลง -50%YoY และ -5%QoQ จากการปิดโรงงานขวดแก้วก่อนหน้านั้นและการเน้นผลิตให้สินค้าตนเองมากขึ้น
อัตราทำกำไรขั้นต้นคาดเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 40% ทำสถิติใหม่สูงสุด จากอัตราทำกำไรของกลุ่มต่างประเทศและกลุ่ม Personal care ดีกว่ากลุ่มอื่นที่เพิ่มขึ้น การบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น และต้นทุนวัตถุดิบและแพคเกจจิ้งที่ลดลง ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายทรงตัว YoY แต่ลดลง QoQ จากการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
เรายังคงประมาณการเดิมรอความชัดเจนส่วนแบ่งการตลาดที่คาดจะเห็นได้ในช่วง 2Q25F บริษัทได้ปรับกลยุทธ์เน้น energy drink 10 บาท ในช่องทางจำหน่าย traditional trade ที่เริ่มออกเดือน ก.พ.25 เราคาดว่าจะเห็นผลใน 2Q25F หลังจาก distributor เริ่มกระจายสินค้าครั้งแรกครอบคลุมพื้นที่ 85% และมีสั่งซื้อซ้ำประมาณ 40% ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดราคา 10 เริ่มมีโอกาสเพิ่มขึ้น ในขณะที่ M150 ฝาทองราคา 12 บาท มีส่วนแบ่งการตลาดลดลง แต่มีผลกระทบน้อยกว่าที่บริษัทคาดไว้ โดยส่วนแบ่งการตลาดรวมของกลุ่ม M-150 เริ่มดีขึ้น
แนวโน้มผลประกอบการ 2Q25F เราคาดกำไรหลักจะทรงตัว QoQ เนื่องจากคาด เป็นช่วง low season ของการส่งออกในต่างประเทศ แต่ในประเทศเป็นช่วง high season ฤดูร้อน เรายังคงประมาณการเดิมคาด2025-26F กำไรหลักอยู่ที่ 2,825 ล้านบาท (-7%YoY) และ 3,007 ล้านบาท (+6%YoY) จากคาดรายได้กลุ่มเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 6% จากส่วนแบ่งการตลาดที่คาด
ค่อยๆเพิ่มขึ้นจากการขยายตลาดราคาปลีก 10 บาทในกลุ่ม traditional trade และคาดกลุ่ม functional drink เพิ่มขึ้น คาดรายได้ต่างประเทศเพิ่มขึ้นปีละ 8% YoY จากฐานค่อนข้างสูงในปี 2024 (สัดส่วนรายได้ต่างประเทศ 21% ของรายได้รวม) โดยเฉพาะเมียนมาเป็นหลัก ในขณะที่เวียดนามมีการนำเข้าสินค้าเครื่องดื่มพลังงานกระป๋อง M150 และอินโดนีเซียยังเติบโตต่อเนื่อง (สัดส่วน 10% ของการส่งออก) คาดกลุ่ม Personal Care เพิ่มขึ้นปีละ 8% และธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) Supply Chain คาดลดลงจากการปิดโรงงานขวดแก้วบางส่วนและเน้นใช้สินค้าตนเองเพิ่มขึ้น
คาดอัตรามาร์จิ้นทรงตัวอยู่ที่ปีละ 37.5% จากคาดราคา 10 บาท ที่มีอัตรามาร์จิ้นต่ำกว่า 12 บาท แต่ชดเชยกับต้นทุนแพคเกจจิ้งและ commodities ที่ปรับตัวลดลง คาดค่าใช้จ่ายในการขายเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 26.5% จากการทำการตลาดและโปรโมชั่นเพิ่มขึ้น ส่งผลให้คาดอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ปีละ 10% เพิ่มขึ้นจากปี 2024 ที่ 6%
เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 21.50 บาท
จากการปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่เน้นขยายตลาด Traditional trade เพื่อดึงส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 21.5 บาท อ้างอิง PER-1.5SD เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีของ OSP อยู่ที่ 23X จากกลุ่มเครื่องดื่มพลังงานในประเทศและธุรกิจ Personal Care มีการแข่งขันสูง ราคาหุ้นปัจจุบันมี PER25F อยู่ที่ 16.2X Dividend Yield 25F อยู่ที่ 6.2% โอกาส : การขยายตลาดส่งออก ความเสี่ยง : ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด, ต้นทุน commodities ที่สูงขึ้น, เศรษฐกิจชะลอตัว