Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

174

 

สรุปภาพตลาดวานนี้

รีบาวด์กลับช่วงบ่าย นำโดยการซื้อกลับในกลุ่มพลังงาน ค้าปลีก ขนส่ง อิเล็กทรอนิกส์ แต่กลุ่มธนาคารยังคงมีแรงขายออกมาต่อ ส่วนหุ้นขนาดกลาง-เล็กสายซิ่งหลายตัว สลับบวกขึ้นมา เช่น NETBAY ZIGA ROCTEC VGI INSET JMART SCAP MONO JAS GFPT เป็นต้น

แนวโน้มตลาดวันนี้

ก้าวข้ามเทรดวอร์ (ระยะสั้น)
ตามที่เราระบุในรายงาน กลยุทธ์ระยะสัปดาห์ ว่าให้ Buy the dips เพราะคาดว่าการสร้างกราฟรูปแบบ “Island” บริเวณ 1050 จุด ซึ่งหลายครั้งที่หลุดแบบนี้ จากเหตุการณ์ Panic sell มักจะไม่เห็นหุ้นไทยวกกลับลงมาสร้างจุดต่ำสุดใหม่ในระยะสั้น อย่างน้อยก็ 2-3 สัปดาห์ ข้างหน้า หากอิงเหตุการณ์สถิติ เช่น เมื่อครั้ง น้ำท่วมใหญ่, ชุมนุมการเมืองในประเทศจนนำไปสู่การเกิดจราจล / รัฐประหาร, โรคซาร์ระบาดช่วงแรก และโควิด ปิดเมือง, ตกใจแคปปิตอล คอนโทรล เป็นต้น ดังนั้นเราคาดว่าแรงขายแค่กลุ่มที่ราคาลอยอยู่ด้านบนจะไม่กดดัน SET ไปมากกว่านี้ (เพราะหุ้นไทยราคานอนตายอยู่ด้านล่างเสียเป็นส่วนใหญ่แล้ว)
กลยุทธ์ แนะนำเล่นหุ้นแบบ Buy the dips
1) กลุ่มเล่นรีบาวด์สั้น ขึ้นขายลงซื้อ ตามเทคนิค สินค้าทดแทนการส่งออกจีนไปสหรัฐฯ อย่างอิเล็กทรอนิกส์-ชิ้นส่วนยานยนต์ CCET DELTA HANA KCE เก็งกำไรให้จบรอบก่อนงบฯ ไตรมาส 1 (ปลาย เม.ย.)
2) การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ชดเชยผลกระทบ GDP จากการส่งออก STECON CK การซ่อมบ้าน และคอนโด (HMPRO และหุ้นค้าปลีกที่เชื่อมโยง เช่น CBG OSP CPALL CPAXT)
3) เล่นเก็งกำไรการลดดอกเบี้ย เช่น ไฟแนนซ์ MTC TIDLOR และ
4) กลุ่มหลัก ที่ใช้สะสมแบบ DCA เน้นเลือกที่แนวโน้มกำไรยังแกร่ง (จากผลกระทบสงครามการค้าและเศรษฐกิจโลก) และเป็นหุ้น Defensive ได้แก่ ค้าปลีก CPALL BJC โรงพยาบาล BDMS BCH โรงไฟฟ้า GULF และไอซีที ADVANC TRUE


ขณะที่สถานการณ์ลงทุนล่าสุดดูผ่อนคลายขึ้น เช่น 1) IMF ออกคาดการณ์เศรษฐกิจโลกไม่ถดถอย คาดปีนี้ปีหน้ายังขยายตัวได้ 2.8-3% จากเดิมคาด 3.3% ตลอด 2 ปี ข้างหน้า ส่วนอเมริกาคาด +1.8% จากเดิมคาด 2.7%, 2) ปธน.ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ สื่อเมื่อคืน “ภาษีตอบโต้ จีน มีแนวโน้มไม่สูงถึง 145% แต่จะไม่เหลือศูนย์ ขึ้นอยู่กับการเจรจาซึ่งน่าจะมีแนวโน้มที่ดี”

กลยุทธ์การลงทุน

กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ แนะนำเล่นหุ้นแบบ Buy the dips
1) กลุ่มเล่นรีบาวด์สั้น ขึ้นขายลงซื้อ ตามเทคนิค
2) การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ชดเชยผลกระทบ GDP จากการส่งออก
3) เล่นเก็งกำไรการลดดอกเบี้ย
4) กลุ่มหลัก ที่ใช้สะสมแบบ DCA เน้นเลือกที่แนวโน้มกำไรยังแกร่ง (จากผลกระทบสงครามการค้าและเศรษฐกิจโลก) และเป็นหุ้น Defensive ได้แก่ ค้าปลีก โรงพยาบาล โรงไฟฟ้า และไอซีที

วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET ย่อสลับขึ้น พยายามดึงกลับเพื่อโอกาสทะลุโซนต้านที่ 1,150 จุด (เส้น EMA 25 วัน & ตำแหน่ง Fibo 23.6%) ผ่านได้! จะส่งผลให้แนวโน้มระยะสั้นมีโอกาสกลับตัวเปลี่ยนเป็นขึ้น มองภาพระยะกลางคาดว่าบริเวณ bear case zone ที่ 1,100 จุด อาจเป็นจุด bottom out หรือจุดต่ำสุดผ่านพ้นไปแล้ว จับตารูปแบบ “exhaustion vs breakaway gap” ช่วยยืนยันอีก 1 เสียง
สรุป: แนวโน้มตลาดยังอยู่ในฟอร์ม recovery!.....ไฮไลท์: CPALL ลุ้นปัจจัย +3เรื่อง!...วาง 3 เงื่อนไขจุดกลับตัว “GULF” แถมหุ้นเครื่องดื่ม add เข้าพอร์ตจะเป็นตัวไหน ดูเฉลยในหน้าเลือกหุ้นเด่นครับ

 

What to watch
นายกสั่งการทบทวนมาตรการ ฟรีวีซ่า เพื่อปรับเปลี่ยนมาตรการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ...
โตโยต้าลงทุน 2000 ล้านเหรียญในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน มุ่งเน้นผลิตรถยนต์หรูแบรนด์ LEXUS ของโตโยต้า (การเข้ามาของ EV จีนในประเทศไทยรอบนี้ มีแนวโน้มเปลี่ยนอุตสาหกรรมการเงิน และ ยานยนต์ไทย ไปอย่างสิ้นเชิง แนะนำ ขาย KKP)
DHL Express ประกาศระงับส่งสินค้าที่มีมูลค่าเกิน 800 เหรียญให้กับลูกค้าในอเมริกา จนกว่าจะมีการประกาศเปลี่ยนแปลง สืบเนื่องมาตรการศุลกากรสหรัฐฯ
ประเด็นเกี่ยวกับแนวทางการลดหรือคงดอกเบี้ย ก่อนการประชุม กนง. วันที่ 30 เม.ย.
ติดตาม กสทช. เคาะแนวทางประมูลคลื่นมือถือรอบใหม่
ติดตามงบการเงินกลุ่มธนาคาร

หุ้นแนะนำวันนี้
MTC แนวโน้มผลประกอบการไตรมาสแรก คาดกลับมาเติบโตแรง y-y และบวก q-q เล่นรับเทรนด์ผลตอบแทนพันธบัตร และดอกเบี้ย ในประเทศขาลง
แนวรับ 43 ต้าน 45 Stop loss 42

Tactical port เพิ่ม MTC OSP

 

 


รายงานพื้นฐานวันนี้

Industrial Estate
วัฏจักรขาลงเริ่มกดดัน
กลุ่มนิคมฯ เข้าสู่ช่วงปลายวัฏจักรแล้ว แม้กำไร 1H25 ยังดีจากการโอนที่ดินที่ขายปี 2024 แต่แนวโน้มยอดขายใหม่ชะลอจากการย้ายฐานจากจีนที่เริ่มอิ่มตัว และยังไม่มีอุตสาหกรรมใหม่มาช่วยหนุน ขณะที่ BOI มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้นในการอนุมัติสิทธิประโยชน์เพื่อสกัดการหลบภาษีผ่านไทย ซึ่งกดดันภาพรวมในระยะถัดไป
โดยคาดกำไร AMATA 1Q25 ที่ 674 ล้านบาท เติบโต 38% YoY (แต่ลดลง 38% QoQ) ส่วน WHA คาด 1Q25 ที่ 1.23 พันล้านบาท ลดลง 5% YoY และทรงตัว QoQ
แต่ในระยะถัดไปจะเริ่มเผชิญความเสี่ยงจากรายได้และอัตรากำไรที่ลดลงหลังจากนี้ โดยเราประเมินว่ากลุ่มนี้เสี่ยงถูกปรับลดประมาณการกำไรต่อเนื่องใน โดยอิงจากแนวโน้มการปรับลดกำไรช่วงขาลงในอดีต 13-19 เดือน รอบนี้เราคาดว่าจะเห็นในระยะเวลา 6-12 เดือน
ทั้งนี้ การประเมินใหม่ของเราชี้ว่าแม้ในกรณีดีที่สุด กำไรปี 2025 ก็เติบโตเพียง 3–18% เท่านั้น
Fundamental view: เราปรับราคาเป้าหมายลงจาก 16 เหลือ 14 บาท สำหรับ AMATA และจาก 3.03 เหลือ 2.78 บาท สำหรับ WHA และคงคำแนะนำ “ขาย” ทั้งสองตัว ขณะที่ WHAUP ยังเป็นทางเลือกที่ดีกว่าด้วยรายได้ประจำและปันผลสูง ท่ามกลางภาวะที่ขาดปัจจัยหนุนใหม่

Utilities
กลับมาน่าสะสม?
แม้กลุ่มโรงไฟฟ้าถูกกดดันจากนโยบายลดค่าไฟ แต่เรามองว่าผลกระทบเริ่มสะท้อนไปมากแล้ว ขณะที่ต้นทุนก๊าซเริ่มลดลง และอากาศที่เย็นกว่าปกติในต้นปี 2025 ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลง ส่งผลให้ต้นทุนต่อหน่วยของ EGAT สูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้การลดค่าไฟฟ้าล่าช้าออกไป SPP มีโอกาสเห็นการปรับเพิ่มประมาณการกำไรจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลงและกำไรขั้นต้นที่ขยับสูงขึ้น
ความเสี่ยงหลักยังคงเป็นปริมาณการใช้ไฟของโรงงาน (IUs) ที่อาจลดลง หากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ส่งผลต่อคำสั่งซื้อสินค้าไทย อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ได้สะท้อนกรณีเลวร้ายไว้ระดับหนึ่งแล้ว
1Q25 กำไรของ GULF คาดโตทั้ง YoY และ QoQ จากการเพิ่มกำลังผลิตและรายได้จาก ADVANC ส่วน SPP อย่าง BGRIM, GPSC คาดกำไรฟื้น YoY ได้จากต้นทุนก๊าซที่ลดลง แม้ QoQ ลดลงตามฤดูกาล ขณะที่ GUNKUL และ WHAUP คงกำไรได้จากสัญญาระยะยาวและรายได้ที่มั่นคง
Fundamental view: เรายังคงคำแนะนำ “มากกว่าตลาด” สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้า เนื่องจาก Valuation ยังถูกเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น และกำไรมี Upside หากต้นทุนก๊าซลดลงเร็วกว่าคาด หรือการปรับลดค่าไฟฟ้าถูกชะลอออกไป เราแนะนำสะสม GUNKUL และ WHAUP ที่มี Dividend yield สูง และรายได้มั่นคงจากสัญญาระยะยาว เหมาะเป็นหุ้น Defensive ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า

 

 


Transportation
ทนต่อความผันผวน ด้วยพื้นฐานที่แกร่ง
แนวโน้มรายได้ปี 2025 มีความเสี่ยงจากนักท่องเที่ยวจีนที่ยังฟื้นตัวช้า เหตุการณ์แผ่นดินไหว และภาวะเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ แต่ความยืดหยุ่นของกลุ่มขนส่งไทยยังสูง โดยเฉพาะ BEM และ AAV ที่ยังมี upside จากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวใน 2H25 หากสงครามการค้าเริ่มคลี่คลาย

จากการศึกษาในอดีตช่วงที่การท่องเที่ยวหยุดชะงัก โดยเฉพาะโควิด (2019-21) การปรับกำไรลงของกลุ่มกินเวลา 5-14 เดือน และปรับในระดับ 1-306% แต่เราไม่คิดว่าสถานการณ์รอบนี้จะเป็นแบบนั้น โดยปัจจุบันตลาดมีการทยอยปรับกำไรแล้ว 3-10% (YTD) นำลงโดย AAV ขณะที่ BTS มีการปรับขึ้น

คาดการณ์ใหม่ 2025: เราได้สะท้อนตัวเลขประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติ 37 ล้านคน (ลดลงจาก 38 ล้าน) และ GDP ไทยที่ 1.4% (จากเดิม 2.4%) เข้าไปในประมาณการใหม่ โดยปรับลดประมาณการกำไรปี 2025 ของกลุ่มขนส่งฯ ลง 4-76% ใน Base-case (โดย AAV ปรับลงน้อยสุด 4% เนื่องจากมีต้นทุนน้ำมันลงช่วยกลบผลกระทบด้านรายได้) ขณะที่กรณี Bear-case (นักท่องเที่ยว 36.2 ล้านคน และ GDP 0.9%) มี Downside อีก 8-12%

โดยภาพรวมเรามองว่าแนวโน้มกำไรของกลุ่มขนส่งสาธารณะมีความแข็งแกร่ง และทนทานต่อปัจจัยกระทบต่อมหภาคมากกว่าหลายกลุ่ม โดยเฉพาะพวกสินค้าโภคภัณฑ์
Fundamental view: ดังนั้น เราคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” โดยเลือก BEM เป็นหุ้นเด่น (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 7.30 บาท) และ AAV มองเป็นโอกาสสะสม (ปรับขึ้นเป็นแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 2.00 บาท) ขณะที่ BTS แนะนำถือ

CPN
เซ็นทรัลพัฒนา
รอ Central Park ใน 2H25
คาดกำไรหลัก 1Q25 ที่ 4,200 ล้านบาท เติบโต 1% YoY (ลดลง 4% QoQ) โดยรายได้ค่าเช่าที่เติบโต 8% YoY แต่ยอดโอนอสังหาริมทรัพย์ลดลง 50% YoY จากภาวะเศรษฐกิจและลูกค้ารอมาตรการภาครัฐ ส่วน GM คาดดีขึ้นเป็น 56.3% (จาก 54.6% ใน 1Q24)
แนวโน้ม 2Q25 คาดกำไรหลักลดลง YoY แต่ทรงตัว QoQ โดยสิ่งสำคัญยังแนะนำจับตาการโอนโครงการ Central Park และ Central Krabi จะเปิดใน 2H25
ประเด็นความเสี่ยงจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ อาจกระทบกำลังซื้อและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คิดเป็น 12–15% ของผู้ใช้บริการในศูนย์การค้า ซึ่งหากแย่สุด SSRR เติบโตเพียง 3% (จาก Base-case 5%) กำไรอาจมี downside ได้อีกราว 7%
Fundamental view: คงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 55 บาท ยังไม่ใช่เวลาสะสม


สรุปประเด็นจาก Quick take

KKP
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
KKP ยังเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เพราะให้ความสำคัญกับคุณภาพลูกหนี้ ทำให้สินเชื่อน่าจะยังลดลงต่อเนื่องในปีนี้ นอกจากนี้ ยังประเมินว่าธุรกิจตลาดทุนยังฟื้นตัวล่าช้า
View from fundamental: เราประเมินความเสี่ยงจากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า จะกดดันคุณภาพสินทรัพย์และธุรกิจตลาดทุนของ KKP ให้ฟื้นตัวล่าช้า จึงยังแนะนำขาย

 

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้