ลดระดับความกลัว เพิ่มระดับความเสี่ยง
TOP PICK DELTA / SCC / CPALL
EXTERNAL FACTOR
GLOBAL INDICES
• วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นราว 2.1-2.5% จากหลายปัจจัยความกังวลที่ผ่อนคลายลง ทั้งความเห็น IMF คาดยังไม่เกิด RECESSION ในหลายประเทศรวมถึงไทย,TRUMP ไม่แทรกแซงนโยบายการเงิน, และส่งสัญญาณ TRADE WAR กับจีนผ่อนคลายลง กดดันราคาทองปรับตัวลงมาแรง
• ขณะที่เช้านี้ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเขียวทุกประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น +1.8% เกาหลีใต้ +1.1%มาเลเซีย +0.8% ไต้หวัน +3.3% เป็นต้น ซึ่งน่าจะหนุนให้เช้านี้ SET INDEX เปิดบวกได้ไม่ยากนัก โดยวันนี้วางกรอบการเคลื่อนไหว SET 1136 -1160 จุด
INTERNAL FACTOR
• ผลกระทบนโยบายปรับขึ้นภาษีเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ทำให้ IMF ปรับลดประมาณการGDP GROWTH ลงมาในหลายประเทศทั่วโลก
• IMF คาดเศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 1.8% ในปี 2025 (เดิมคาด 2.9%) และ 1.6%ในปี 2026 ซึ่งถูกหั่นลงต่ำสุดในอาเซียน
• อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่สหรัฐฯ ผ่อนคลายมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากร ก่อนที่จะครบกำหนดวันเรียกเก็บภาษีตอบโต้ในวันที่ 9 ก.ค. 2025 เชื่อว่าจะทำให้สงครามการค้ารุนแรงน้อยลง และผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจอาจเบากว่าตลาดการณ์ ซึ่งน่าจะเป็นแรงหนุนให้ตลาดหุ้นดีดตัวได้
INVESTMENT STRATEGY
เข้าสู่ช่วงเพิ่มระดับความเสี่ยง!!! แนะนำหุ้น 2 ชุด
• หุ้นเก็งกำไร หวังรีบาวน์แรง เป็นหุ้นพื้นฐานลงลึก, มี BETA > 1, มี ESG RATING อย่าง KCE, WHA, DELTA,AMATA, BGRIM, SCGP, TOP, AOT, PTTGC, GPSC, SCC, TU, CENTEL, LH, SAWAD
• หุ้นเด่นน่าทยอยสะสม หวังการเติบโตแบบแข็งแกร่งในระยะยาว เป็นหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม มี DIV YIELD > 3%, กำไรเป็นบวกทุกปีตลอด 5 ปีที่ผ่านมา และมี ESG RATING อย่าง SCC,CPALL, BDMS, WHA, KCE, CK, AP, SCGP, BBL
เม็ดเงินกลับทิศไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง หลังมีหลายปัจจัยผ่อนคลาย
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นราว 2.1-2.5% จากหลายปัจจัยความกังวลที่ผ่อนคลายลง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. รัฐมนตรีคลังสหรัฐ : แสดงความเห็นว่า ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะคลี่คลายลงในไม่ช้าพร้อมยืนยันว่าเป้าหมายนโยบายของ TRUMP ไม่ใช่การแบ่งแยกเศรษฐกิจของสหรัฐและจีนออกจากกัน ซึ่งเผยว่าภาษีนำเข้าจากจีนจะลดลงจากระดับปัจจุบันที่ 145%
2. ประธาน FED หรือ POWELL ยืนยัน ตามกฏหมายเอาออกจาก ประธาน FED ไม่ได้ ทำให้นักลงทุนกังวลผ่อนคลายความกังวลเรื่องแทรกแซงนโยบายการเงินไปได้ระดับหนึ่ง
3. IMF คาดยังไม่เกิด RECESSION แม้มีความกังวล TRADE WAR และหั่นคาดการณ์ GDP โลกเหลือ 2.8%ปีนี้(จาก 3.3%) ขณะที่ประเทศต่างๆ ก็โดนปรับประมาณการเช่นกัน อาทิ สหรัฐฯ(1.9% เหลือ 1.4%) จีน(4.6% เหลือ 4.0%) ส่วนไทยโดนปรับลงจาก 2.9% เหลือ 1.8% อย่างไรก็ตามมีเพียง MEXICO เท่านั้นที่คาด GDP ปีนี้จะติดลบ ซึ่งทำให้ความกังวลการเกิด RECESSION ของนักลงทุนผ่อนคลายลง
ปัจจัยผ่อนคลายดังกล่าว หนุนให้เม็ดเงินกลับทิศไหลออกจาก GOLD SPOT ปรับตัวลง 5.5% จากจุดสูงสุดภายใน18 ชั่วโมงถัดมา และทยอยเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากคืนที่ผ่านมา NASDAQ 2.5% และเช้านี้NASDAQ FUTURES +2.1% รวมกันบวกราว 4.6% ขณะที่เช้านี้ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเขียวทุกประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น+1.8% เกาหลีใต้ +1.1% มาเลเซีย +0.8% ไต้หวัน +3.3% เป็นต้น ซึ่งน่าจะหนุนให้เช้านี้ SET INDEX เปิดบวกได้ไม่ยากนัก โดยวันนี้วางกรอบการเคลื่อนไหว SET 1136 -1160 จุด
ผลกระทบ TRADE WAR 2 ดูหนักหน่วง...แต่ถ้ารุนแรงน้อยกว่าคาด ก็น่าจะเริ่มคลายกังวล
วานนี้ IMF เผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดยได้ปรับลดประมาณการ GDP GROWTH ลงมาในหลายประเทศทั่วโลก จากผลกระทบนโยบายปรับขึ้นภาษำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ โดยเฉลี่ยพุ่งขึ้นสู่ระดับ 22.8% (ก่อนขึ้นภาษีรอบใหม่อยู่ในระดับเฉลี่ยราว 2.3%)
• โลก คาดเศรษฐกิจขยายตัว 2.8% ในปี 2025 (เดิมคาด 3.3%) และ3.0% ในปี 2026 (เดิมคาด 3.3%)
• สหรัฐฯ คาดเศรษฐกิจขยายตัว1.8% ในปี 2025 (เดิมคาด 2.7%) และ1.7% ในปี 2026 (เดิมคาด 2.1%)
• จีน คาดเศรษฐกิจขยายตัว4.0% ในปี 2025 (เดิมคาด 4.6%) และ4.0% ในปี 2026 (เดิมคาด 4.5%)
• ไทย คาดเศรษฐกิจขยายตัวเพียง 1.8% ในปี 2025 (เดิมคาด 2.9%) และ 1.6% ในปี 2026 ซึ่งถูกหั่นลงต่ำสุดในอาเซียน
ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินกรณีผลตอบแทน SET ช่วงที่ GDP GROWTH ของไทยติดลบต่อกัน 2 ไตรมาส (TECHNICALRECESSION) หรือเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ที่เกิดขึ้น 4 ครั้งล่าสุด พบว่า
• ช่วงไตรมาสมาสแรกที่ GDP ติดลบ จะกดดันผลตอบแทน SET INDEX เฉลี่ย -5%
• ช่วงไตรมาสมาส 2 ที่ GDP ติดลบ จะกดดันผลตอบแทน SET INDEX เฉลี่ย -8%
• ช่วงที่เกิด TECHNICAL RECESSION หลังจากนั้น 1.5 เดือน (หลังจากที่สภาพัฒน์ประกาศตัวเลขอย่างเป็นทางการ) ผลตอบแทน SET INDEX จะปรับตัวสูงขึ้นราว +0.4%
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่สหรัฐฯ ผ่อนคลายมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากร ก่อนที่จะครบกำหนดวันเรียกเก็บภาษีตอบโต้ในวันที่ 9 ก.ค. 2025 เชื่อว่าจะทำให้สงครามการค้ารุนแรงน้อยลง และผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจอาจเบากว่าตลาดการณ์ ซึ่งน่าจะเป็นแรงหนุนให้ตลาดหุ้นดีดตัวได้
หาหุ้นเติมพอร์ต ในช่วงลดระดับความกลัว เพิ่มระดับความเสี่ยง
ภาพปัจจัยแวดล้อมผ่อนคลายลงมามาก ทั้ง IMF ประเมินเศรษฐกิจโลกยังไม่เข้าสู่ช่วง RECESSION, สหรัฐฯ แสดงท่าที ลดระดับ TRADE WAR กับจีน ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำ เข้าสู่ช่วงเพิ่มระดับความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุน โดยแนะนำเก็งกำไร และสะสมหุ้น 2 ชุด ดังนี้
หุ้นเก็งกำไร หวังรีบาวน์แรง เป็นหุ้นพื้นฐานลงลึก, มี BETA > 1, มี ESG RATING อย่าง KCE, WHA, DELTA,AMATA, BGRIM, SCGP, TOP, AOT, PTTGC, GPSC, SCC, TU, CENTEL, LH, SAWAD
หุ้นเด่นน่าทยอยสะสม หวังการเติบโตแบบแข็งแกร่งในระยะยาว เป็นหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรมมี DIV YIELD > 3%, กำไรเป็นบวกทุกปีตลอด 5 ปีที่ผ่านมา และมี ESG RATING อย่าง SCC, CPALL, BDMS,WHA, KCE, CK, AP, SCGP, BBL
Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์