ภาวะตลาด : วานนี้ SET Index ปรับขึ้นแรง รับข่าวทรัมป์ ระงับการใช้มาตรการภาษีตอบโต้ 90 วันเพื่อให้เจรจาต่อรอง ทำให้มีความหวังว่าอัตราภาษีตอบโต้ของแต่ละประเทศจะต่ำกว่าที่ประกาศออกมา ดัชนีปรับขึ้นไปสูงสุด 1146.86 (+58.68 จุด) แต่มีแรงขายทำกำไรสลับออกมา ปิดตลาดลดช่วงบวกลงมายัง 1133.95 (+45.77 จุด หรือ +4.21%) โดยดัชนีผ่านและยืนเหนือ 1122 แนวต้านแรกได้ดี ด้วยแรงซื้อที่กระจายไปแทบทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ นิคมฯ ที่เด้งขึ้นแรงตามมาด้วยกลุ่มสื่อสาร พลังงาน ปิโตรเคมี ธนาคารฯ นลท.ต่างชาติซื้อสุทธิ +958 ลบ. สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1,407 ลบ. (โปรแกรมเทรดซื้อสุทธิ +1,500 ลบ.)

ปัจจัยต่างประเทศ
+/- สหรัฐ : เงินเฟ้อผู้บริโภคเดือนมี.ค.ลดลงและต่ำกว่าคาด โดยเงินเฟ้อทั่วไปและพื้นฐานเดือนมี.ค.ลงมาที่ 2.4%/2.8% ลดจากเดือนก.พ.และต่ำกว่าตลาดคาด อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่เฟดบางรายระบว่า ยังต้องการดูผลกระทบมาตรการภาษีทรัมป์ ก่อนตัดสินใจลดดอกเบี้ย
- สงครามการค้าสหรัฐ-จีนยังรุนแรง คณะผู้นำจีนเร่งหารือมาตรการกระตุ้นศก.เพิ่มเติม หลังถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 125% (ส่วนจีนเรียกเก็บจากสหรัฐ 84%) และในขณะเดียวกัน ทางการจีนได้ประกาศเพิ่มบริษัทสหรัฐอีก 12 แห่ง เข้าในบัญชีควบคุมการส่งออกสินค้า อ้างเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
• ติดตามความคืบหน้าการเจรจาของแต่ละประเทศใน 3 เดือนจากนี้ ทั้งนี้ ประเทศในกลุ่มอาเซียนเห็นพ้องที่จะใช้กลยุทธ์เจรจาภาษีศุลกากรกับสหรัฐเนื่องจากเศรษฐกิจอาเซียนพึ่งพาการส่งออกมาก ส่วนผู้นำ EU ระบุว่ากำลังมุ่งมั่นในการเจรจากับสหรัฐ โดยมีเป้าหมายภาษีนำเข้าระหว่างกันเป็นศูนย์
•/- สหรัฐเร่งเพิ่มรายได้บริษัทด้านกลาโหม โดยทรัมป์ ลงนามคำสั่งปฎิรูปเกณฑ์การส่งออกยุทโธปกรณ์ เพื่อให้ขายอาวุธให้ชาติพันธมิตรได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ซึ่งสหรัฐจะได้ประโยชน์ทงั้ ด้านการค้าและการเมือง ด้านทรัมป์ ถูกวุฒิสมาชิกสหรัฐเรียกร้องให้สอบสวนเรื่องการปั่นตลาด เอื้อประโยชน์ให้ตนเอง
- ราคาน้ำมันดิบร่วงกว่า 2% เป็น 60-63 US$/bbl วิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ทาง DBS กำลังพิจารณาลดสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ BRENT ปีนี้ลง 5 US$ เป็น 60-65 US$ (เดิม 70-75 US$/bbl) ซึ่งจะทำให้กำไร PTTEP ลดลงราว 7-8% ส่วนต้นทุนแนฟทาบริษัทปิโตรฯ อย่าง SCC, PTTGC ยังผันผวน
- ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลง -2.5%-4.3% กังวลศก.สหรัฐถดถอย ดัชนี VIX พุ่งสู่ 40.72% (จาก 33.62 วันก่อน) ดัชนีราคาถ่านหิน (NC) ทรงที่ 96.25 (สูงสุด 149) ดัชนี Baltic Dry Index ยืนที่ 1269 (สูงสุดอยู่ที่ 1669) ส่วน US Bond Yield 10 ปี พุ่งไป 4.48% ค่าเงิน US$ อ่อนลงสู่ 99.9 เงินบาท/US$ แข็งขึ้นเป็น 33.7

ปัจจัยในประเทศ & ข่าวหุ้นเด่น
- ดัชนีค.เชื่อมั่นผู้บริโภคมี.ค.68 ไทยลดต่อเป็นเดือนที่ 2 สู่ระดับ 56.7 ซึ่งต่ำกว่าก่อนโควิด-19มาก จากวิตกผลกระทบมาตรการทรัมป์ 2.0 และศก.ไทยที่ฟื้นตัวช้า
• นายพิชัย ยืนยันว่ารัฐบาลไทยจะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐกรณีที่ผลิตในประเทศไม่เพียงพอ หรือนำเข้ามาแปรรูปเพื่อส่งออกเท่านั้น
•/+ จับตาการลดดอกเบี้ยของไทย ซึ่งมีโอกาสที่จะปรับลดเร็วกว่าที่คาด โดยเราคาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะลดอีกอย่างน้อย 0.50% ในช่วงที่เหลือของปีนี้

กลุยทธ์ :
แกว่งไม่หลุด 1122 มีลุ้นไปต่อ...แต่ถ้าหลุด มีสิทธิลงรอบใหม่ – ระยะสั้นตลาดหุ้นไทยดูดีขึ้น หลังดัชนียืนเหนือแนวต้านหลักที่ 1122 ได้ ถ้าดัชนีแกว่งแต่ไม่หลุด 1122 ยังเลือกซื้อ/ถือต่อได้ โดยมีแนวต้านหลักถัดไป 1155 และ 1170-1175 แต่ถ้าหลุด 1122 จะดูไม่ดี ควรลดพอร์ตเพราะมีสิทธิลงรอบใหม่ ส่วนกลยุทธ์พื้นฐาน แนะนำ ถือ/ทยอยสะสมหุ้น Defensive & Domestic Play เช่น ADVANC, CPALL, CK, STECON, PR9, BDMS, KTB, TTB, MTC, HMPRO, BEM

หุ้นพื้นฐานแนะนำ:
STECON (ราคาปิด 6.75 บาท) – คาดกำไรสุทธิ 1Q68F ไว้ที่ 200-230 ลบ. เพิ่มจาก 171 ลบ.ใน 1Q67 และขาดทุนสุทธิใน 4Q67 หนุนโดยรายได้ก่อสร้างที่ดีขึ้นและรับเงินปันผลจาก GULF 222 ลบ. คาดทั้งปี 68F พลิกเป็นกำไรสุทธิ 762 ลบ. จากรายได้เพิ่ม มาร์จิ้น กลับสู่ระดับปกติที่ 6.3-6.4% และรับรู้ส่วนแบ่งผลขาดทุนรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพูลดลงหลังเปลี่ยนวิธีบันทึกบัญชีเป็นเงินลงทุนระยะยาว (เดิมเป็น Equity method) แนะนำ ซื้อ ให้ TP 8.4 บาท

นักวิเคราะห์&กลยุทธ์: อาภาภรณ์ แสวงพรรค : arparporns@dbs.com : Tel 02 587 7829