Equality for All
SCGP : บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง

1Q25 คาดฟื้น q-q จากปริมาณขายเพิ่มขึ้นและต้นทุนลดลง : เนื่องจากไตรมาสก่อนหน้ามีผลกระทบทางลบเข้ามาทั้งต้นทุนวัตถุดิบเพิ่ม, หยุดซ่อมบำรุงประจำปี และรับรู้การผลขาดทุนจากดำเนินงาน Fajar เต็มไตรมาส แต่หากไตรมาสนี้ปัจจัยลบที่เคยเกิดใน 4Q24 ไม่เกิดขึ้น อีกทั้ง Fajar ขาดทุนลดลง ซึ่งแบ่งตามส่วนงานดังนี้

กลุ่มบรรจุภัณฑ์ครบวงจร (Integrated Packaging Business : IPB) คาดว่ายังได้ผลบวกจากปริมาณขายเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคทั้งในไทย อินโด มีเพียงเวียดนามที่ได้รับผลจากเทศกาลเต็ดที่ผ่านมา ส่วน Fajar การดำเนินงานที่ดีขึ้นจากการปรับปรุงประสิทธิภาพภายในแต่หากในส่วนราคาขายยังไม่ดีจากจีนผลิตมากขึ้น แต่ทั้งหมดจะได้ผลบวกจากต้นทุนที่ลดลง โดยราคาถ่านหิน -5% q-q

กลุ่มเยื่อและกระดาษ (Fibrous Business) ฟื้นตัวจากการกลับมาผลิตได้ตามปกติ โดยสินค้าที่ขายให้กลุ่ม Food service ส่วนใหญ่ยังดีจากอุปสงค์ที่ยังดีต่อเนื่อง แต่หลัก ๆ ยังได้ปัจจัยหนุนจากปริมาณขายเพิ่มขึ้นเป็นหลัก ขณะที่ราคาขายยังทำได้แค่ทรงตัว แต่ได้ส่วนช่วยจากต้นทุนที่ลดลง

กลุ่ม Recycling ฟื้นตัว q-q เช่นกันจากมีการสต็อกมากขึ้นจากก่อนวันหยุดในสหรัฐและยุโรป

แต่จากการเหลื่อมของการรับรู้ต้นทุนกระดาษ RCP ที่ใน 4Q24 ราคา -16% q-q ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบลดลงในไตรมาสนี้ ขณะที่ปริมาณขายเพิ่มขึ้น แต่หากราคาขายไม่สามารถปรับขึ้นได้จากอุปทานที่มากโดยเฉพาะในจีน อย่างไรก็ตามจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นใน 4Q24 กลับสู่ภาวะปกติ คาดจะทำให้พลิกมากำไรสุทธิ 786 ลบ. จากขาดทุน -57 ลบ. ใน 4Q24

มาตรการภาษีต้องตามต่อ : ผบห. แจ้งว่าแม้สัดส่วนการขายโดยตรงของ SCGP ไปจีนจะมีเพียง 6% ของยอดขาย ขณะที่ขายส่งออกไปสหรัฐมีเพียง 3% เท่านั้น ซึ่ง SCGP สามารถส่งไปขายที่อื่นแทนได้

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องตามต่อคือในส่วนการขายไปที่ลูกค้าและเพื่อการส่งออกคาดว่าในส่วนนี้จะส่งผลกระทบต่อ SCGP หากมาตรการภาษีของทรัมป์เริ่มดำเนินการอย่างจริงจังอีกครั้งซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อ SCGP และเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม

เริ่มมีจังหวะในลงทุนได้
“แม้การดำเนินงาน 1Q25 จะกลับมาฟื้นตัว q-q แต่ปัจจัยที่ต้องติดตามคือการขึ้นภาษีของสหรัฐที่จะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อลูกค้าของ SCGP ทั้งในไทย, อินโดนีเซียและเวียดนามที่มีการส่งออกไปสหรัฐจะได้รับผลจากการขึ้นภาษีเช่นกันเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม นอกเหนือจากการติดตามพัฒนาการการดำเนินงานของ Fajar ที่ EBITDA จะถึงจุดคุ้มทุนใน 2Q25 นี้
อย่างไรก็ตาม จากการเลื่อนมาตรการดังกล่าวออกไปอีก 90 วันทำให้ตลาดคลายกังวลต่อประเด็นดังกล่าวในช่วงสั้น และหันมาให้ความสำคัญต่อการดำเนินงานอีกครั้ง ประกอบกับราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน P/B เพียง 0.48 เท่า พอมีจังหวะการลงทุนได้ ”

นารี อภิเศวตกานต์ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน #17971 naree.a@liberator.co.thจาก