สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(9 เมษายน 2568)----บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX Securities Co., Ltd.) ออกบทวิเคราะห์ประจำวันที่ 9 เมษายน 2568 เปิดเผยว่า คาด SET แกว่งผันผวน นลท. อยู่ในภาวะ risk-off กังวลมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่จะมีผลบังคับใช้ 9 เม.ย. นี้ รวมทั้งการขึ้นภาษีตอบโต้ระหว่างสหรัฐ-จีน หักล้างความคาดหวังที่ว่าอาจมีการเจรจากันก่อน ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบ 5 เดือน บ่งชี้กระแสยังเงินไหลออก ประเมินแนวรับที่ 1060 - 1050 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1080 - 1090 จุด
ประเด็นสำคัญ
• เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวยืนยันสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 104% ในวันพุธที่ 9 เม.ย. เวลา 11.01 น.ตามเวลาไทย อย่างไรก็ดีล่าสุดจีนยืนยันจะต่อสู้ถึงที่สุดและไม่ยกเลิกการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 34% ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่ 10 เม.ย. นี้
• รัฐมนตรีคลังสหรัฐเผยตั้งแต่ปธน. ทรัมป์ประกาศมาตรการเก็บภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ ขณะนี้มีรัฐบาลเกือบ 70 ประเทศได้ติดต่อเข้ามาเพื่อขอเจรจาการค้ากับสหรัฐ ซึ่งอาจใช้เวลาเจราจานานหลายเดือน
• นายกรัฐมนตรีแจ้งพรรคร่วมรัฐบาลขอเลื่อนการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. Entertainment Complex ที่จะเข้าสภาฯ ออกไปสมัยประชุมหน้า เพราะประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาหลายเรื่องที่จะต้องรีบแก้ปัญหา อาทิ มาตรการภาษีของสหรัฐ และแผ่นดินไหว
• ครม. มีมติอนุมัติมาตรการลดค่าโอน-จดจำนอง เหลือ 0.01% มีผลตั้งแต่วันที่กฎหมายได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา-30 มิ.ย. 69 สำหรับบ้าน-คอนโดมิเนียมไม่เกิน 7 ลบ. เพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ หวังเชื่อมโยงกับธุรกิจอื่นๆ หนุนเศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง
• สภาธุรกิจตลาดทุนไทยเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้ายังอยู่ในเกณฑ์ซบเซา จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ การถดถอยของศก. ในประเทศ และสงครามการค้า
• รมว.การท่องเที่ยวและกีฬาเผยจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาไทยตั้งแต่ 1 ม.ค. ถึง 6 เม.ย.68 มีกว่า 10 ล้านคน โดยช่วง 31 มี.ค.-6 เม.ย. 68 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 2.87%WoW จากหลายประเทศในยุโรปปิดภาคเรียนทำให้กลุ่มตลาดระยะไกลเข้ามาเพิ่มขึ้น
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET แกว่งตัวผันผวนต่อเนื่อง เป็นผลสืบเนื่องมาจากมาตรการภาษีของสหรัฐที่คาดจะส่งผลต่อการปรับลดประมาณการ GDP และผลประกอบการของ บจ. ทั่วโลก รวมไปถึงท่าทีของเฟดที่อาจจะไม่ชัดเจน ทั้งนี้เป็นผลจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่อาจจะลดลงช้ากว่าที่คาดการณ์จากประเด็นการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ ซึ่งอาจจจะทำให้ตลาดผิดหวัง เพราะตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ขณะที่จีนคาดยังได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ซึ่งช่วยลดทอนผลกระทบจากสงครามการค้าได้ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
แนวรับ-ต้าน
1060/1050 – 1080/1090
ล็อคเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
Weekly Portfolio: จากความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ความผันผวนของ SET ยังคงอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มจะเอียงไปทางด้าน Downside โดยเฉพาะในช่วงที่มีการตอบโต้ทางภาษีระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีนเพิ่มเติม ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 2 ธีมหลัก และ 1 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 3% พบหุ้นน่าสนใจ SET50: ADVANC BBL BDMS CPALL PTT และ SET100: BCH BTG
2. หุ้น Undervalued คัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) มีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยสูง 3) ซื้อขายที่ PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 2% และ 5) มี SET ESG Ratings ระดับ A-AAA แนะนำ MTC MINT BJC CPF
3. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรภายใต้สงครามการค้าที่มีท่าทีรุนแรงขึ้น แนะนำ หุ้นที่มีรายได้ภายในประเทศเป็นหลักซึ่งจะต้านทานความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดีกว่า โดยเฉพาะหากสามารถกำหนดราคาและส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งคาดจะได้ประโยชน์จากการปรับลงของราคาน้ำมันและดอกเบี้ย ได้แก่ BCH CPALL CPAXT GULF MTC OR และ TRUE ขณะที่แนะนำหลีกเลี่ยงกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางตรงจากส่งออกไปสหรัฐ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ยาง สินค้าเกษตร เครื่องประดับ และกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ นิคม ท่องเที่ยว ธนาคาร
Daily top picks
ADVANC: มองเป็นหุ้น Defensive ซึ่งกำไรเติบโตได้ต่อเนื่อง โดย 1Q68 คาดกำไรจะเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง YoY (จากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในกลุ่มนักท่องเที่ยว) และ QoQ (จากค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่ลดลง) หนุนให้ปี 2568 คาดมีกำไร 38.5 พันลบ. เติบโต 10.5%YoY อีกทั้งมองมีโอกาสเพิ่มกำไรจากการประมูลใบอนุญาตที่กำลังจะมาถึง
BCH: มองเป็นหุ้น Defensive ซึ่งปีนี้คาดกำไรปกติจะเติบโตดีสุดในกลุ่มการแพทย์ที่ 15%YoY โดยได้แรงหนุนจากการดำเนินงานที่เติบโตเพิ่มขึ้น การเพิ่มบริการใหม่ๆ และผลขาดทุนที่ลดลงจากโรงพยาบาลใหม่ทั้ง 3 แห่ง อีกทั้ง Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายที่ PER 68F ระดับ 20.8 เท่า คิดเป็น -2SD ของ PER เฉลี่ยในอดีต