ภาวะตลาด : SET Index วันศุกร์ดิ่งแรง ลดลง 36.60 จุด (-3.15%) ปิดที่ 1,125.21 จุด โดยหลักมาจากความวิตกผลกระทบภาษีศุลกากรทรัมป์ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ -6.4 พันลบ. สถาบันในปท.ขายสุทธิ -2.7 พันลบ. ส่วนวันจันทร์ 7 เม.ย. ตลาดหุ้นไทยปิดทำการ ชดเชยวันจักรี ซึ่งตลาดหุ้นเอเชียร่วงแรงต่อ

ปัจจัยต่างประเทศ
- ประธานเฟดกล่าวว่า มาตรการภาษีทรัมป์ อาจทำให้ศก.สหรัฐชะลอตัวรุนแรง เงินเฟ้อมีแนวโน้มพุ่งขึ้น แต่เฟดยังไม่รีบลดดอกเบี้ย รอดูสถานการณ์ก่อน ขณะที่ทรัมป์ กดดันให้เฟดลดดอกเบี้ยโดยเร็ว สำหรับตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรมี.ค.เพิ่ม 2.28 แสนตำแหน่ง สูงกว่าที่คาดไว้ แต่อัตราว่างงานเพิ่มเป็น 4.2%

- สงครามการค้า: อยู่ในช่วงเวลาของการตอบโต้-ต่อรอง-ประท้วง โดยจีนประกาศตอบโต้ ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพิ่ม 34% มีผล 10 เม.ย.นี้ ด้านทรัมป์ ขู่จะเรียกเก็บภาษีจีนเพิ่มอีก 50% ถ้าไม่ยกเลิกฯ รมว.คลังสหรัฐระบุว่า มีกว่า 50 ประเทศติดต่อขอเจรจาการค้ากับสหรัฐแล้ว เวียดนาม & ไต้หวันเสนอลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเป็น 0% ซึ่งสหรัฐระบุ ยกเว้นภาษีนำเข้าให้สหรัฐของเวียดนามนั้นยังไม่เพียงพอ ด้านคนอเมริกันที่จะถูกกระทบจากสินค้าแพงขึ้นก็ออกมาประท้วงกันทั่วทั้ง 50 รัฐ โดยใช้ชื่อ “Hands Off”

- ศก.โลกมีโอกาสชะลอตัวแรง หรือเข้าสู่ภาวะถดถอย ปริมาณการค้าโลก อุปสงค์สินค้าโภคภัณฑ์ลดลง…ทำเนียบขาวโต้ข่าวปลอมที่ระบุว่าทรัมป์ กำลังพิจารณาขยายระยะเวลาบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariff) ออกไปอีก 90 วัน

• ตลาดหุ้นเริ่มมีเด้ง หลังดิ่งแรง 3 วันก่อนหน้า ดัชนี VIX ลดเป็น 46.98 หลังพุ่งไปสูงสุด 60.13 ราคาน้ำมันดิบ WTI & BRENT ร่วงต่อกว่า 2% เป็น 61-64-65 US$/bbl เป็น Sentiment ลบต่อกับ PTTEP ดัชนีราคาถ่านหิน (NC) อ่อนเป็น 99.4 (สูงสุด 149) ดัชนี Baltic Dry Index ลงมาที่ 1540 (สูงสุดรอบนี้อยู่ที่ 1669) ด้านดัชนีค่าเงิน US$ แข็งค่าขึ้นเป็น 103.3 ส่วนเงินบาท/US$ อ่อนสู่ 34.66

ปัจจัยในประเทศ & ข่าวหุ้นเด่น
+ ตลาดหลักทรัพย์ฯปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor, Dynamic Price Band และห้ามขายชอร์ตเป็นการชั่วคราวในวันที่ 8-11 เม.ย.68 รับมือกับตลาดหุ้นที่ร่วงแรง

• นายกฯระบุ 8 เม.ย.นี้ จะสรุปแนวทางเจรจากับรัฐบาลสหรัฐ และรมว.คลังจะเดินทางไปสหรัฐเพื่อหารือกับภาคส่วนต่างๆ

• ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร จะเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระแรก วันที่ 9 เม.ย.นี้

• มีโอกาสสูงที่กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงเร็วกว่าที่เคยประเมินไว้ เนื่องจากศก.ไทยเผชิญแรงกดดันทั้งจากภายนอก (ภาษีศุลกากรทรัมป์ ) และภายใน (ผลกระทบศก.ซบเซาต่อเนื่องและแผ่นดินไหว) ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในระดับต่า

กลุยทธ์ : ช่วงฝุ่นตลบ…พักหุ้นไว้ในกลุ่ม Defensive & Domestic Paly และ Wait & See ก่อน สำนักวิจัยฯต่างๆ ประเมินจีดีพีไทยปี 68 เสี่ยงลดลง 1%+/-จากสหรัฐเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (สำหรับ DBS คาดการณ์ลดลง 1.5% บนอัตราภาษีที่ 36%) ยังผลให้เศรษฐกิจไทยปีนี้มีโอกาสโตต่ำกว่า 2% และมีแนวโน้มปรับลดคาดการณ์กำไรบจ.ลงด้วย ด้วยความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่สูงและไม่แน่นอน การมีหุ้นอยู่แล้วเน้นถือครองหุ้น Defensive & Domestic Play ได้แก่ ADVANC, CPALL, CK, STECON, PR9, BDMS, KTB, TTB, MTC, HMPRO เป็นต้น ส่วนการลงทุนใหม่ ให้ Wait & See และถือครองเงินสดไว้ก่อน

หุ้นพื้นฐานแนะนำลงทุน : MTC – บริษัทได้อานิสงค์จากแผ่นดินไหว โดยคาดว่าจะมีความต้องการใช้สินเชื่อจำนำเพิ่มขึ้น เพื่อนำเงินมาซ่อมแซมที่พักอาศัยรวมทั้งจะได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาลงด้วย ด้านการขยายสาขายังเดินหน้าตามแผน ส่งผลให้รายได้และกำไรปี 68F เติบโตต่อเนื่องประเมินกำไรหลักทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 6.9 พันล้านบาท (+17%) ในปีนี้ แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 65 บาท อิงกับ P/BV ปีนี้ที่ 3.2 เท่า (Mean-0.5SD)

นักวิเคราะห์&กลยุทธ์: อาภาภรณ์ แสวงพรรค : arparporns@dbs.com : Tel 02 587 7829