Equality for All
TU : บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป
1Q25 คาดกำไรสุทธิ 655 ลบ. หดแรง -43% y-y และ -46% q-q : หลัก ๆ มาจากยอดขายที่ลดลง และยังได้รับผลจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และอัตราภาษีจ่าย GMT ที่เพิ่ม
กลุ่ม Ambient (51% ของยอดขาย) ยอดขายลดลง 2-3% q-q ลดลง 5-8% y-y จากราคาปลาทูน่าเพิ่มขึ้นส่งผลให้คำสั่งซื้อ OEM ชะลอตัว, ขณะที่ปีที่แล้วฐานสูง และอุปสงค์ในสหรัฐ-ยุโรปยังไม่ดี
กลุ่ม Frozen (29%) ยอดขายลดลงระดับ 2 หลักทั้ง y-y และ q-q จากอุปสงค์ลดลงทั้งในสหรัฐ และยุโรป แม้ว่าอุปสงค์ในเอเชียจะดีก็ตามแต่ไม่สามารถชดเชยได้
กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง (12%) ยอดขายหดตัว 2-3% y-y แต่ลด 2 หลัก q-q ในทิศทางเดียวกับที่เราเคย preview ในรายงานของ ITC
อัตรากำไรขั้นต้นคาดลดลงอยู่ที่ 18.5% จากยอดขายหดตัว ค่าเงินแข็งค่า และอัตรากำไรขั้นต้นของ ITC ลดลง
ค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อยอดขายคาดจะสูงกว่าเป้าที่เคยให้ไว้ที่ 13-13.5% จากมีค่าใช้จ่าย transformation cost และมีค่าใช้จ่ายด้านการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขาย
รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบ. ร่วมดีขึ้น y-y จาก Avanti ที่ยังดีต่อ และดอกเบี้ยจ่ายลดลงจากอัตราดอกเบี้ยลดลง และคาดอัตราภาษีจ่ายจะเพิ่มเป็น 11% ตามเกณฑ์ GMT ที่เริ่มต้นใช้ปีนี้
คาดกำไรปกติที่ 605 ลบ. แต่คาดมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนราว 50 ลบ. ส่งผลให้กำไรสุทธิคาดจะอยู่ที่ 655 ลบ. หดแรง -43% y-y และ -46% q-q
มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐกระทบทั้งแม่และลูก : มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐกับไทยนั้น เราคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย โดยยอดขายของกลุ่ม TU ที่ส่งไปสหรัฐ และแคนาดาอยู่ที่ 40% ของยอดขาย ซึ่งในที่นี้รวมยอดขาย ITC อยู่ด้วย และหากแยกตามธุรกิจพบว่ายอดขาย Ambient (50% ของยอดขาย) มีการขายในสหรัฐราว 30% กลุ่มอาหารแช่แข็ง (30%) มีการขายในสหรัฐ 50% ยอดขาย ITC (13%) มีการขายในสหรัฐ 50% และกลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่ม (7%) ขายในสหรัฐ 15-20% จากตัวเลขดังกล่าวเราคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกไปสหรัฐของ TU แม้ปัจจุบันจะมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าแล้วก็ตาม แต่คาดจะส่งผลต่อกำลังซื้อจากอัตราภาษีเพิ่มขึ้น
เราปรับกำไรปี 2025 ลง 20% จากเดิม : ผบห. ให้เป้าหมายปี 2025 ดังนี้ ยอดขายเพิ่ม 3-4% y-y อัตรากำไรขั้นต้น 18.5%-19% ค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อยอดขาย 13%-13.5%
จากแนวโน้ม 1Q25 ที่ออกมาจะต่ำกว่าที่เคยคาด รวมถึงประเด็นการขึ้นภาษีจากสหรัฐทำให้เราปรับประมาณการลง 20% จากเดิม โดยปรับยอดขายเป็น 131,774 ลบ. -5% y-y อัตรากำไรขั้นต้นคงเดิมที่ 18.8% แต่ปรับค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อยอดขายเพิ่มเป็น 14.2%
ขณะที่การเริ่มใช้ภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำ 15% (ตามเกณฑ์ของ OECD – Global minimum Tax) ในไทยซึ่งคาดว่า TU จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบัน อัตราภาษีจ่ายสุทธิของ TU อยู่ที่เพียง 8% ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ตามกฎหมายกำหนดที่ 15% และปรับกำไรสุทธิลงเหลือ 4,157 ลบ. -17% y-y ทำให้ได้ราคาเหมาะสมใหม่เป็น 11.20 บาท/ หุ้น ทำให้เราปรับลดคำแนะนำลงเป็น “ถือ”
เปลี่ยนแปลงโครงการหุ้นซื้อคืนเพิ่มขึ้นจากเดิม : TU แจ้งเปลี่ยนแปลงโครงการหุ้นซื้อคืนจากเดิมวงเงิน 3,000 ลบ. เพิ่มเป็นไม่เกิน 5,000 ลบ. จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนจากเดิม 200 ล้านหุ้นเพิ่มเป็น 445 ล้านหุ้นคิดเป็น 9.99% จากเดิมที่ 4.49% โดยข้อมูลล่าสุด TU ซื้อหุ้นคืนไปแล้วจำนวน 153.65 ล้านหุ้น คิดเป็นจำนวนเงิน 1,811 ลบ. คาดว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยประคองราคาหุ้นได้บ้าง
รอไปก่อน
“จากแนวโน้ม 1Q25 ที่ดูน่ากังวลทั้งยอดขายที่ยังดูต่ำกว่าเป้าทั้งปีพอสมควร และแนวโน้มช่วงที่เหลือของปียังอาจได้รับผลจากมาตรการการขึ้นภาษีในสหรัฐคาดอาจทำให้เป้าที่ให้ไว้ดูมีความน่ากังวลมากขึ้น
แม้ราคาหุ้นปัจจุบันจะซื้อขายบน P/E25E 10.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต แต่ก็ไม่ใช่ตัวเลือกต้น ๆ จากปัจจัยลบที่รออยู่ กลยุทธ์การลงทุน รอความชัดเจนจากมาตรการภาษีซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนต่อกลุ่มนี้อีกครั้ง เราจึงลดน้ำหนักเป็น ถือ ”
ESG Snapshot : TU ยังคงเป็นผู้นำในด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหารทะเลทั่วโลกผ่านกลยุทธ์ SeaChange® 2030 ที่มุ่งสู่การบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 พร้อมการสนับสนุนการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยบริษัทได้จัดสรรเงินทุน 7,200 ล้านบาท ให้กับโครงการ SeaChange® ภายในปี 2030
นารี อภิเศวตกานต์
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน #17971
naree.a@liberator.co.th