Market Wrap-Up
- SET วันที่ 12 มี.ค.68 ปิด -27.57 จุด อยู่ที่ 1,160.06 จุด มูลค่าการซื้อขาย 46,281 ลบ. สถาบันซื้อ 394 ลบ. รายย่อยซื้อ 3,262 ลบ. พอร์ตโบรกขาย 692 ลบ.และต่างชาติขาย 2,965 ลบ. NVDR มียอดขายสุทธิ 2,786 ลบ.โดยมียอดซื้อในหุ้น TRUE,ADVANC,GULF,CRC,PTT และมีขายหุ้น KBANK,KTB,DELTA,SCB,PTTGC มูลค่า Short Sales อยู่ที่ 2,253 ลบ. หุ้นที่มี%ปริมาณ Short สูงคือ TAIWANHD13,TDEX,BCH โดยนักลงทุนต่างประเทศมีสถานะ Short ใน Index Futures จำนวน 12,656 สัญญา ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีต่างชาติ Short สุทธิรวม 11,456 สัญญา นักลงทุนต่างชาติซื้อพันธบัตรจำนวน 8,650 ลบ.
- ตลาดหุ้นสหรัฐ DJIA -0.20%, S&P500 +0.49%, Nasdaq +1.22% ได้แรงหนุนจากกลุ่มเทคโนโลยี +1.56%, บริการสื่อสาร +1.43% หลังรายงานตัวเลข US CPI ก.พ. อยู่ที่ 2.8% & ม.ค. 3.0% และน้อยกว่าคาดที่ 2.9% YoY ส่งผลให้เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยในปีนี้ ตลาดหุ้นยุโรป Stoxx600 +0.81% ได้แรงหนุนจากกลุ่มธนาคาร, สินค้าอุตสาหกรรม & บริการ หลังยูเครนรับข้อเสนอหยุดยิง 30 วัน เพือนำไปสู่ข้อตกลงสันติภาพกับรัสเซีย
Market View
- ตลาดหุ้นสหรัฐวานนี้ S&P500, Nasdaq ปรับขึ้น หลังข้อมูล US CPI ก.พ. อยู่ที่ 2.8% & ม.ค. 3.0% YoY และ US Core CPI ก.พ. อยู่ที่ 3.1% & ม.ค. 3.3% YoY บ่งชี้เงินเฟ้อสหรัฐมีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ CME FedWatch คาดเฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ ในช่วง มิ.ย., ต.ค. และ ธ.ค. ครั้งละ 0.25% ปัจจัยดังกล่าวส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐ ขณะที่แคนาดาได้ตอบโต้สหรัฐด้วยการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐมูลค่า 2.0 หมื่น ล.ดอลลาร์ หลังถูกสหรัฐปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก , อะลูมิเนียมที่อัตรา 25% ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจค่ำวันนี้ติดตาม US PPI ก.พ. คาด 3.3% & ม.ค. ที่ 3.5% YoY ก่อนการประชุมเฟดวันที่ 18 – 19 มี.ค.
- ตลาดหุ้นยุโรปวานนี้ปรับขึ้น ได้แรงหนุนจากกลุ่มธนาคาร, สินค้าอุตสาหกรรม & บริการ หลังยูเครนรับข้อเสนอจากสหรัฐให้หยุดยิงเป็นเวลา 30 วัน เพื่อนำไปสู่การเจรจาข้อตกลงสันติภาพกับรัสเซีย หากสำเร็จก็จะส่งผลให้ต้นทุนพลังงานของยุโรปปรับลดลง ขณะที่ EU เตรียมใช้ ม.ตอบโต้ทางภาษีกับสหรัฐมูลค่า 2.6 หมื่น ล.ยูโร ในเดือนหน้า หลังถูกสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก & อะลูมิเนียมที่อัตรา 25% ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจวันศุกร์นี้ติดตาม CPI เยอรมัน, ฝรั่งเศส, สเปน ก.พ. รวมถึง ม.กระตุ้นเศรษฐกิจของเยอรมัน
- ตลาดหุ้นเอเชียวานนี้ปรับลดลง นำโดยดัชนีเซี่ยงไฮ้ -0.23%, ฮั่งเส็ง -0.76% หลัง ปธน.ทรัมป์ประกาศจะเพิ่มการเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก & อะลูมิเนียมจากแคนาดา ส่งผลให้นักลงทุนกังวลการเรียกเก็บภาษี Universal Tarriffs ของสหรัฐในวันที่ 2 เม.ย. ขณะที่ดัชนีนิเกอิวานนี้ +0.07% ยังได้แรงหนุนจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่า ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก ส่วนเข้าวันนี้คาดตลาดหุ้นเอเชียจะฟื้นตัวตามกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐ
- ดัชนี SET วานนี้ -2.32% ปริมาณการซื้อขาย 46,281 ลบ. ต่างชาติขาย 2,965 ลบ. พอร์ตโบรกขาย 692 ลบ. สถาบันซื้อ 394 ลบ. และรายย่อยซื้อ 3,292 ลบ. โดยดัชนีปรับลดลง จากความกังวลไทยอาจถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษี Universal Tariffs ในวันที่ 2 เม.ย. เนื่องจากไทยมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐปี 67 เป็นอันดับที่ 10 ด้วยมูลค่าราว 4 หมื่น ล.ดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้ากลุ่มเสี่ยงที่จะถูกเก็บภาษี เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ, โทรศัพท์มือถือ, โซลาร์เซลล์, ยางนอก, หม้อแปลงไฟฟ้า, เครื่องปรับอากาศ, วงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์, เฟอร์นิเจอร์ ฯ ขณะที่ TRUE, BCP, TIDLOR ปรับลดลง เนื่องจากเป็นหุ้นในกอนทุน LTF ที่ไม่มีอันดับ ESG Rating ซึ่งอาจไม่สามารถสลับเปลี่ยนไปยังกองทุน Thai ESGX ได้ แต่ทาง ตลท.ได้แจง 3 เกณฑ์หุ้นเข้า Thai ESGX คือ 1) เป้นที่ยอมรับระดับสากลของ SET ESG Rating, FTSE หรือ MSCI 2) มีการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 3) CGR เกิน 90 คะแนน และเปิดเผยข้อมูล ESG Data Platform มากกว่า 85 ไอเท็ม ส่งผลให้หลักทรัพย์ 14 ตัวแม้ไม่มี ESG Rating ยังเข้าข่ายการลงทุนของ Thai ESGX
Daily Strategy
- ประเมินแนวรับดัชนี SET ที่ 1,150 – 1,160 แนวต้าน 1,170 – 1,180 คาดได้แรงหนุนหลังตัวเลขเฟ้อสหรัฐ ก.พ. ชะลอตัว ส่งผลให้เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยในปีนี้ และรอผลการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า แนะนำทยอยซื้อ SCB,KTB,PTT,ADVANC,CPALL,AOT,BDMS ซึ่งเป็นหุ้นที่กองทุน LTF ถืออยู่ในสัดส่วนสูง และมีอันดับ ESG Rating ระดับ A ถึง AAA
- BTG* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 23.50 บาท) กำไร 4Q67 อยู่ที่ 983 ล้านบาท เติบโตขึ้น QoQ, YoY มีปัจจัยหนุนจากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น ปริมาณขายและราคาสัตว์บกปรับตัวดีขึ้น ส่วนต้นทุนอาหารสัตว์ปรับตัวลดลง รวมถึงกลยุทธ์ของบริษัทที่เน้นการขายในช่องทางที่มีอัตรากำไรสูง เช่น ร้านอาหาร กลุ่ม food service บริษัทตั้งเป้าปี 68 ยอดขายโต 3-7%YoY จากปริมาณขายที่เพิ่มตามการขยายกำลังการผลิต ขณะที่ GPM คาดสูงกว่าปี 67 ที่ 5% แนวโน้ม 1Q68 น่าจะดีต่อเนื่องได้อานิสงส์จากราคาสุกรในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ยังต่ำจากราคากากถั่วเหลือง นอกจากนี้การซื้อ Eggriculture ที่เป็นธุรกิจไข่ในสิงคโปร์จะเสร็จใน 1Q68 หนุนรายได้ในระยะถัดไป ทั้งนี้อิงจาก Consensus ตลาดคาดปี 68 มีกำไรสุทธิ 2.9 พันล้านบาท +20%YoY และปี 69 ที่ 3.4 พันล้านบาท +16%YoY
- BCH (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย40 บาท) กำไรสุทธิ 4Q67 อยู่ที่ 233 ลบ.(-48.59%YoY, -45.48%QoQ) มีปัจจัยกดดันกำไรจาก 1.ผู้ป่วยคูเวตยังไม่กลับ 2.รายการลบจากการปรับการรับรู้รายได้ประกันสังคมโรค Adj.RW>2 เหลือ 8,000 บาท/adj.RW (12,000 บาท/adj.RW) ราว -164 ลบ. และ 3.การปรับปรุงรายการ Covid-19 ที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ ราว -65 ลบ. อย่างไรก็ตามคาดว่าการดำเนินงานผ่านจุดต่ำไปแล้ว และ 1Q68 จะเห็นการฟื้นตัวได้ ขณะที่ความเสี่ยงของการรับเงินประกันสังคมในปี2568 ลดลงไป คาดว่า SSO จะสามารถจ่ายโรค adj.RW>2 ที่ 1.2 หมื่นบาท/adj.RW ได้
Daily Key Factors
Oil Update(+) WTI เม.ย. +$1.43 อยู่ที่ $67.68 / บาร์เรล, Brent พ.ค. +$1.39 อยู่ที่ $70.95/บาร์เรล หลัง EIA รายงานสต็อคน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์ที่ผ่นมาเพิ่มขึ้น 1.4 ล.บาร์เรล น้อยกว่าคาดจะเพิ่มขึ้น 2 ล.บาร์เรล บ่งชี้อุปสงค์ความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐยังอยู่ในระดับสูง กอปรกลุ่มโอเปกได้คงตัวเลขคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปีนี้
Gold Update(+) Comex Gold เม.ย.$+25.90 อยู่ที่ $2,946.8 /ออนซ์ หลังข้อมูล US CPI ก.พ. อยู่ที่ 2.8% & ม.ค. ที่ 3.0% YoY ส่งผลให้เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยในปีนี้ กอปรทองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
Fund Flow(-) Fund Flow ต่างชาติในตลาด TIP วานนี้ ขายสุทธิ -78.47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขายหุ้นไทย -87.56 ล.ดอลลาร์สหรัฐ ซื้อหุ้นอินโดฯ +9.04 ล.ดอลลาร์สหรัฐ และซื้อหุ้นฟิลิปปินส์ +0.04 ล.ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ค่าเงินบาทเช้านีทรงตัวอยู่ที่ 33.77 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ปรับขึ้นอยู่ที่ 4.314 %
(+) ดัชนี BDI วานนี้ +123 จุด อยู่ที่ 1,559
(+) BitCoinเช้านี้ +0.99% อยู่ที่ 83,585 ดอลลาร์สหรัฐ
Economic Calendar
ในประเทศ
12 มี.ค. ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม
สัปดาห์ที2 ม.หอการค้าไทย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค, ดัชนีความเชื่อมั่น
หอการค้าไทย
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย แถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนและ
อัพเดตสถานการณ์ลงทุน
ตลท. แถลงสรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์
สัปดาห์ที3 ส.อ.ท. แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์ รถจักรยานยนต์และชิ้นส่วน
ยานยนต์
ต่างประเทศ
11 มี.ค. US ตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่จาก JOLTS (ม.ค.)
12 มี.ค. US ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) (ก.พ.)
US สินค้าคงคลังน้ำมันดิบ
13 มี.ค. US ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) (ก.พ.)
US จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก
Theme Strategy
Theme หุ้นเด่น 1H68 เน้น หุ้นในธุรกิจใหม่ที่เป็น Trend ในอนาคต อย่าง Data Center รวมถึงหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรปกติ 4Q67-1Q68 คาดออกมาดี และ หุ้นที่รับความผันผวนได้ดีจากความเสี่ยง Trade War/ธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มชะลอการลดดอกเบี้ย
(1) กลุ่มธนาคารที่มี Sentiment บวกจากธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มชะลอการลดดอกเบี้ย/มี Yield สูง BBL, KTB, KBANK, TISCO*, TTB*
(2) กลุ่มการอุปโภคบริโภค ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ CPALL, CPAXT*, CRC, NSL*, TNP*, OSP*
(3) กลุ่มโรงพยาบาล BDMS, BH, PR9*, SKR
(4) กลุ่มมีโอกาสเกี่ยวข้องกับการลงทุน Data Center/ธุรกิจ Trend อนาคต ADVANC,INTUCH*,TRUE,GULF*,AMATA
(5) กลุ่มสินค้า IT ที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยี(เช่น AI function/ 4G to 5G) SYNEX*, ADVICE*, SIS*
(6) กลุ่มที่มี Sentiment บวกจาก Entertainment Complex BTS*, VGI*, MBK*, BA
**หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ที่ยังไม่อยู่ใน Coverage ของฝ่ายวิจัย
Asset Allocation: Equity 55% Fixed Income 30% Alternative Investment etc. Gold 10% Cash 5%
Today Fundamental Research: -
Monthly Portfolio February 2025: CPALL, SYNEX*, KLINIQ, SHR*, TEGH*
Analysts
Apichai Raomanachai
Fundamental and Technical Investment Analysis ID No. 002939
Tel 02-829-6999 Ext 2200
Email : apichai.ra@kfsec.co.th
Nopporn Chaykaew
Fundamental Analysis ID No. 043964
Tel 02-829-6999 Ext 2203
Email : noppoen.ch@kfsec.co.th
Nattawat Poosunthornsri
Fundamental Analysis ID No. 087077
Tel 02-829-6999 Ext 2204
Email : nattawat.po@kfsec.co.th