Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.กรุงศรี : KSS Daily Strategy

259

 

"Deep Value Play"

 

KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "แกว่งในกรอบ" ต้าน 1200/1207จุด รับ 1173/1167 จุด ประเด็นกำหนดทิศทางตลาด 1.) การกีดกันการค้าเข้มข้นขึ้น หลังรัฐออนแทริโอของแคนาดาจะเรียกเก็บภาษีกระแสไฟฟ้าที่ส่งให้แก่สหรัฐฯ ขณะที่สหรัฐตอบโต้ทันทีเพิ่มภาษีนำเข้าอะลูมิเนียมและเหล็กจากแคนาดา 25% และขู่จะขึ้นเพิ่มอีก 25% เราประเมินความเสี่ยงเพิ่มต่อเศรษฐกิจสหรัฐในฐานะผู้นำเข้า 2 สินค้าดังกล่าวจากแคนาดาเป็นหลัก ทั้งนี้ การกีดกันที่อาจขยายวงสู่อุตสาหกรรมอื่นๆ จะเป็นบวกอาเซียน+ไทยที่สถานะเป็นกลาง 2.) สถานการณ์รัสเซีย - ยูเครน กลับมาอยู่ในแนวทางยุติสงคราม 3.) ตลาดรอจับตาเงินเฟ้อ CPI ตลาดคาด +2.9%y-y, +0.3%m-m 4.) รัฐประกาศกองทุน ThaiesgX รองรับเม็ดเงิน LTF เดิม และเม็ดเงินลดหย่อนพิเศษอีก 3 แสนบาทต่อคน ประเมินบวกทั้งการชะลอการขาย LTF ที่เหลือ 1.6 แสนล้านบาท, เม็ดเงินใหม่ และเม็ดเงินกระจายเงินเข้าสู่หุ้นใหญ่ที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่เป็นหุ้นขนาดกลาง-ใหญ่มากขึ้น หุ้นนำ คือ หุ้น Deep Value ของเราที่อยู่ใน SETESG (CPALL, BDMS, MINT, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT) ที่คาดเป็นเป้าหมายหลักของเม็ดเงิน ThaiesgX , หุ้นนิคม รับกระแส Trade War ปะทุ และหุ้นอิงยุโรปจิตวิทยาบวกสงครามใกล้ยุติ วันนี้แนะนำ CPALL, MINT, WHA

 

 

Daily outlook: "แกว่งในกรอบ" ต้าน 1200/1207 จุด รับ 1173/1167 จุด

What happened around the world?

(-)US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงต่อ อิง Dow jones -1.14%d-d, ดัชนี Nasdaq -0.18%d-d, S&P500 -0.76% โดยดัชนี S&P 500 Sector ปรับลงทุก Sector หลักๆคือ Industrials, Consumer staples, Healthcare, Real estate ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ Microstrategy +8.9% ขึ้นตามราคาเหรียญ Bitcoin +5.29%ขึ้นมาเหนือ 8.2 หมื่นเหรียญ, กลุ่ม Tech และกลุ่มผู้ผลิตชิปที่ปรับลงแรงวันก่อน Rebound อาทิ Broadcom +3.1%, NVIDIA +1.66%, Tesla +3.8% ส่วนกลุ่มที่สายการบิน Delta Air Lines -7.3% ปรับลดคาดการณ์กำไร 1Q25 ลง 50% , American Airlines -8.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุนใน 1Q25

(*/-) US - Canada Trade war : ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ - แคนาดาเพิ่มขึ้น ตามแผนทรัมป์จะขึ้นภาษีนำเข้า 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากแคนาดา เริ่มตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. ฝั่งแคนาดา รัฐออนแทริโอของแคนาดาประกาศเรียกเก็บภาษีกระแสไฟฟ้าที่ส่งให้แก่สหรัฐฯในอัตรา 25% (แต่ในท้ายที่สุดแคนาดาได้ชะลอการมีผลดังกล่าว) โดยล่าสุดฝั่งสหรัฐ ประกาศเพิ่มการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากแคนาดาอัตรา 25% มีผลบังคับใช้วันนี้

KSS ประเมินการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐ- แคนาดาดังกล่าวจะยังเป็น Overhang คาดจะมีการตอบโต้ไปมา ทำให้เป็นจิตวิทยาลบต่อสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึง SET Index อย่างไรก็ตามคาดจะต้องมีการเจรจาต่อรอง เพราะหากอิง Krungsri research ประเมิน ประเทศที่มีสัดส่วนส่งออกสูงไปยังสหรัฐฯ แคนาดา (441 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และผลกระทบต่อการส่งออกสูงสุดจะเกิดขึ้นแคนาดา คิดเป็น (77.6% ของการส่งออกทั้งหมด)

(*) US Econ : ตัวเลขแรงงานการเปิดรับตำแหน่งงานสหรัฐ (Job Opening) เดือน ม.ค. เร่งขึ้นมาที่ 7.74 ล้านรายดีกว่าตลาดคาด 7.65 ล้านราย Prev. 7.6 ล้านราย อย่างไรก็ตามตัวเลขดังกล่าวเป็น Lagging indicator เนื่องจากเป็นตัวเลขเดือน ม.ค. และยังไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ ซึ่งมีการลดการจ้างงานในหน่วยงานของรัฐ ประเมินมีแนวโน้มตัวเลขเดือน ก.พ. - มี.ค.มีโอกาสอ่อนตัวลง

(*) US CPI : คืนนี้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อ CPI ทั่วไป ก.พ. 25 ตลาดคาด +2.9%y-y และ +0.3%m-m vs prev. +3.0%y-y, +0.5%m-m ส่วน Core CPI ในเดือนเดียวกันตลาดคาด 3.2%y-y, +0.3% KSS ประเมินจาก Top ranks คาดตัวเลขใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย แต่อย่างไรก็ตามมีโอกาสที่ตัวเลขอาจจะออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย สะท้อนจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐทั้ง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค การ จ้างงานนอกภาคเกษตร ประเมินหากตัวเลขเงินเฟ้ออกมาใกล้เคียงหรือต่ำคาด จะหนุนความเชื่อมั่นว่าสหรัฐจะลดดอกเบี้ยปีนี้ 3 ครั้งๆ เป็นจิตวิทยาบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง และหุ้นกลุ่มการเงิน MTC กลุ่มหนี้ส^' CPALL CPAXT

(*/+) War : สหรัฐประกาศกลับมาฟื้นส่งข่าวกรอง และความช่วยเหลือทางทหารยูเครน หลังจากล่าสุดยูเครนพร้อมรับข้อเสนอหยุดยิงชั่วคราว 30 วัน มองเป็นจิตวิทยาบวกระยะสั้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง และเป็นประเด็นทางจิตวิทยาลบกดดันต่อราคาทองคำ

(*) To monitors : ฝั่งสหรัฐ 14 มี.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (U of Michigan) มี.ค. 25 (ครั้งแรก) ตลาดคาด 65.0 จุด ดีขึ้นจาก prev. 64.7 จุด

(*) US Bond Yields & Dollar : US Bond Yields อายุ 2 ปี แนวโน้มหลักยังเป็นขาลง แต่ระยะสั้น Rebound +5 bps มาที่ 3.94% (โซนแนวต้านทางจิตวิทยาคือ 4.0%) เช่นเดียวกับอายุ 10 ปี +8 bps อยู่ที่ 4.28% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ส่วน Dollar Index อเล็ก่อนค่าลงมาเล็กน้อย 103.3 จุด (มองเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินในสกุลเอเซียแข็งค่า)

(*/+)Oil : น้ำมันดิบ Brent +0.40%d-d ปิดที่ USD 69.56/barrel, น้ำมันดิบ West Texas +0.33%d-d ปิดที่ USD 66.25/barrel มองเป็นจิตวิทยาบวกระยะสั้นต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, PTT แต่ระยะกลางยาว ยังคงประเมินแนวโน้มราคาน้ำมันดิบยังเป็นขาลงมองเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่ม Anti commodity อาทิ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง , กลุ่มสายการบิน AAV, BA

(*/-) Rubber : ราคา ยาง TOCOM -2.36%d-d, -3%wtd, และ -6%mtd ปิดที่ 335JPY/kg ประเมินระยะสั้นเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มยาง อาทิ STA, NER

 

What happened in Thailand?

(+) SET: SET Index ปรับขึ้น 10.19 จุด (+0.87%) ปิดที่ระดับ 1,188 จุด มูลค่าการซื้อขาย 4.95 หมื่นล้านบาท (จำนวนหุ้นปรับขึ้น 320 บริษัท, หุ้นปรับลง 165 บริษัท) รับข่าว ครม. เห็นชอบจัดตั้งกองทุน ThaiESG Extra รับโอนเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน LTF และ เพิ่มเงินลงทุนใหม่ด้วยการให้นักลงทุนซื้อหน่วยลงทุน ThaiESG ลดหย่อนภาษีเพิ่มได้อีก 300,000 บาท โดยมี Sector ที่ปรับขึ้น คือ กลุ่มขนส่ง (AOT, AAV, BA) AOT ปรับขึ้นในฐานะหุ้น Deep Value ส่วน AAV BA จิตวิทยาบวกราคาน้ำมันซึมลงรับความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯหนุน กลุ่มค้าปลีก (CPALL) ฟื้นตัวในฐานะหุ้น Deep Value และวานนี้ที่ตลาดผิดหวังมาตรการ Digital Wallet เฟส 3 เม็ดเงินน้อยกว่าคาด ขณะที่พื้นฐานยังดี และ กลุ่มธนาคาร (KBANK, KTB, SCB) เคลื่อนไหวแข็งแกร่งกว่าตลาดต่อเนื่อง คาดตลาดรอรับเงินปันผล ส่วน Sector ที่ปรับลง คือ กลุ่มอิเล็กฯ (DELTA, SVI) ตลาดกังวลความเสี่ยงผลกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่พื้นฐานกำไรปี 2025F มีแนวโน้มเติบโตต่ำ-ไม่เติบโต

(*/+) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติเป็นภาพไหลออก ขายหุ้น -30.2 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +8.8 ล้านเหรียญฯ Net Long TFEX ที่ +9,374 สัญญา เงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าเล็กๆ สู่บริเวณ 33.7 +/- บาท

(*/+) Cabinet: มติ ครม. วานนี้ที่สำคัญ ได้แก่

1.) เห็นชอบมาตรการพยุงตลาดหุ้นไทย มีมติเห็นชอบการจัดตั้งกองทุน ThaiESG Extra ที่จะเปิดให้ซื้อหน่วยลงทุนได้ในเดือน พ.ค.-มิ.ย.68 จะเปิดรับเม็ดจาก 2 ส่วน

ส่วนที่ 1 : ผู้ที่ถือหน่วยลงทุน LTF เดิมยังไม่ได้ขาย หากประสงค์จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีต่อ ให้แจ้งโอนย้ายหน่วยลงทุนมาอยู่ใน Thai ESG X สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 500,000 บาท ทยอยหักปีแรกไม่เกิน 300,000 บาท ที่เหลือนำมาเฉลี่ยหักใน 4 ปี (แจ้งย้ายกองใน 2 เดือน ไม่เกินสิ้นเดือน มิ.ย. 25)

ส่วนที่ 2 : เพิ่มโอกาสลดหย่อนภาษีแบบพิเศษ นอกเหนือจากวงเงินเดิม กำหนดระยะเวลาซื้อหน่วยลงทุนไม่เกิน 2 เดือน สิ้นสุด มิ.ย. 25 ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีไม่เกิน 3 แสนบาท

ทีมกลยุทธ์ประเมิน KSS ประเมินลดแรงขายของผู้ที่ถือกองทุน LTF เดิม (ตั้งแต่ต้นปี 2025 - ปัจจุบัน มีแรงขาย LTF รวม 3.5 หมื่นล้านบาท และ NAV ของกองทุน LTF ทั้งหมด ล่าสุด 10 มี.ค.รวมอยู่ที่ 1.6 แสนล้านบาท) ขณะที่ในส่วนการเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีแบบพิเศษ KSS มองคล้ายกับกองทุน SSFX ในปี 2020 และประเมินจะเป็นเงินใหม่หรือ New Money นอกจากนี้ เราประเมินมีโอกาสเห็นเม็ดเงินกระจายเข้าสู่หุ้นที่มี Rating ESG Score ที่กองทุน ThaiESG เน้นให้ลงทุนเป็นหลักเพิ่มขึ้น ส่วนหุ้นที่อยู่ในกองทุน LTF แต่ไม่มี ESG Rating อาจมีความเสี่ยงถูกลดน้ำหนักลง ทั้งนี้ เชิงกลยุทธ์เราแนะนำ หุ้น Deep Value ที่อยู่ใน SETESG มีความมั่นคงระยะ 2-3ปีข้างหน้า และอยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว (CPALL, BDMS, MINT, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT)

2.) ก.ล.ต. กล่าวว่าการออก พ.ร.ก. เพื่อเพิ่มอำนาจให้กับสำนักงาน ก.ล.ต. มากขึ้น โดยจะให้มีอำนาจในการสอบสวนและสืบสวน รวมถึงสั่งฟ้องต่อพนักงานอัยการได้เพิ่มเติม จากขอบเขตอำนาจในปัจจุบันนั้นกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างจัดทำร่างกฎหมาย คาดว่าจะสามารถประกาศเป็น พ.ร.ก.ได้เร็วๆนี้ ประเมินน่าจะมีส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดได้

(*/+) Aviation: องค์การบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ FAA เข้าตรวจสอบมาตรฐานการบิน 10-12 มี.ค. หลัง CAAT เร่งแก้ไขข้อบกพร่อง ลุ้นอีก 30 วัน รู้ผลไทยจะกลับขึ้นสู่ Category 1 จะช่วยให้ไทยกลับมาเปิดบริการเที่ยวบินไปยังสหรัฐฯได้ รวมถึงการทำ Code Share ร่วมกับสายการบินจากสหรัฐฯ รวมทั้งจะสามารถเพิ่มเที่ยวบินและสายการบินในการบินเข้าประเทศที่อ้างอิงผลการตรวจของ FAA ได้มากขึ้น หากผ่านเกณฑ์และกลับขึ้นสู่ระดับ CAT1 ได้ ประเมินบวกต่อกลุ่มการบิน โดยเฉพาะ AOT, BA

(*) Utilities: กกพ. เปิดรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟทีงวด พ.ค.-ส.ค. 25 เสนอทางเลือกค่าไฟที่ 4.15 - 5.16 บาทต่อหน่วย เท่ากับ/เพิ่มขึ้นจากรอบ ม.ค. - เม.ย. 25 ซึ่งอยู่ราว 4.15 บาท แม้ยังต้องรอข้อสรุปและความเห็น รมว. พลังงาน แต่ระยะสั้นประเมินจิตวิทยาบวกต่อโรงไฟฟ้าที่มีลูกค้าอุตสาหกรรมสูงๆ อาทิ BGRIM GPSC น่าเก็งกำไร ส่วนเชิงพื้นฐานเน้น GPSC (TP25F-34) ที่เป็นหนึ่งใน 10 หุ้น Deep Value ที่ทีมกลยุทธ์แนะนำ

(*/-) TH Tourism: นักท่องเที่ยวต่างชาติสัปดาห์ล่าสุด 3-9 มี.ค. อยู่ที่ 6.38 แสนคน ลดลง -4.5% หลักๆ เป็นการลดลงจากการเข้าสู่เทศกาลรอมฏอน ทำให้เราคาดว่ามีโอกาสเริ่มเห็นการฟื้นตัวในสัปดาห์ถัดไป ขณะที่นักท่องเที่ยว YTD 9 มี.ค. ยังสูงราว 7.66 ล้านคน หรือเฉลี่ยวันละ 1.12 แสนราย เราประเมินภาพนักท่องเที่ยวทั้งปี 2025F ยังอยู่ในกรอบตลาดประเมินทั้งปี 37-38 ล้านราย ระยะสั้นเรายังแนะนำรอหุ้นอิงภาคบริการ ท่องเที่ยว การบินตอบรับประเด็นลบก่อนพิจารณาเข้าลงทุนใหม่ เน้น จุดที่การท่องเที่ยวยังดี อาทิ เกาะสมุย เน้น ERW MINT รวมถึงหุ้นอิงการท่องเที่ยวไทยไม่มาก ขณะที่กำลังอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวประโยชน์จากการลงทุน SHR

(*) To monitor: ปัจจัยภายในสัปดาห์นี้ ได้แก่ 13 มี.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.พ. 25 ไม่มีคาด vs prev. 59.0 จุด

 

Daily Strategy : CPALL, MINT, WHA

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "แกว่งในกรอบ" ประเมินจิตวิทยาลงทุนวันนี้เป็นกลาง สถานการณ์การกีดกันการค้าสหรัฐฯ – แคนาดาที่เข้มข้นขึ้น คาดนำมาสู่ความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯมากขึ้น ทำให้ตลาดน่าจะจับตาเงินเฟ้อ CPI ที่รายงานวันนี้ เพื่อประเมินความเสี่ยง Stagflation ส่วนเรื่องบวก คือ สถานการณ์รัสเซีย - ยูเครน กลับมาอยู่ในแนวทางยุติสงครามและกองทุน ThaiESGX ที่คาดช่วยชะลอการขาย LTF และดึงเม็ดเงินใหม่จากการให้สิทธิ์เพิ่ม 300,000 บาทต่อคน ภายใน 2 เดือน (คล้าย SSFX) หุ้นนำ คือ หุ้น Deep Value ของเราที่อยู่ใน SETESG (CPALL, BDMS, MINT, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT) ที่คาดเป็นเป้าหมายหลักของเม็ดเงิน ThaiesgX , หุ้นนิคม รับกระแส Trade War ปะทุ และหุ้นอิงยุโรปจิตวิทยาบวกสงครามใกล้ยุติ

 

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (BA, AAV, GULF, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
10 หุ้น Deep Value ที่มีความมั่นคงระยะ 2-3ปีข้างหน้า และอยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT)

• MAR25 Stock Picks: AMATA, AP, BA, BH, BTS, CPALL, MTC

• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 


Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 


Strategy Update :SET 50/100 interim Rebalance

การเปลี่ยนแปลง SET50/SET100 ระหว่างกาล Update สืบเนื่องจากกรณี GULF, INTUCH จะมีการควบรวมเป็นบริษัทใหม่ คือ GULF Development ซึ่งจะเข้าตลาดวันที่ 3 เม.ย. ทำให้มีการนำหุ้นเข้า SET50/SET100 ใหม่ในระหว่างกาล ดัชนีละ 1บริษัท KSS ได้ประเมินหุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 ใหม่ผลจากประเด็นนี้

SET50 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่ระหว่างกาล Rebalance สิ้นวันที่ 2 เมย คือ VGI (โอกาสเข้า 95%)

SET100 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่จะแข่งกันระหว่าง MOSHI (โอกาส 50%), THCOM (โอกาส 30%), KAMART (โอกาส 20%)

กลยุทธ์ : เราคาดหุ้นที่ถูกนำเข้า SET50/100 จะถูกเพิ่มน้ำหนักจาก Passive Fund เป็นบวกต่อราคาหุ้น โดยในส่วน SET 50 เราแนะนำเก็งกำไร VGI และ BTS บ.แม่ (ถือหุ้น 57.1%) ส่วน SET100 แนะนำเก็งกำไร MOSHI

Strategy Update : ThaiESG Plays

กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดตั้ง กองทุน ThaiESG กองที่ 2 คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยมีวงเงินประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับกองทุน LTF ที่ครบอายุไปแล้ว ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์ยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งอาจแตกต่างจากกองทุน ThaiESG เดิม แต่ยังคงเน้นลงทุนในประเทศ โดยเราประเมินว่าการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจะช่วยชะลอแรงขายจาก LTF เดิมและเสริมสภาพคล่องใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่ถือ LTF ระยะยาว ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 1,620-1,640 จุด

เรามองปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดในระยะกลางถึงยาว ได้แก่ การขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากมีการเพิ่มเพดานลดหย่อนของ ThaiESG จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท เท่ากับ LTF เดิม จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดมากขึ้น อีกทั้งยังมีการหารือเรื่อง การลงทุนในหุ้นไทย 100% และ การขยายขอบเขตของหุ้น ESG เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนและกระจายความเสี่ยง KSS มองว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการขาดเงินทุนระยะยาวจาก LTF ที่หมดสิทธิประโยชน์ หากภาครัฐมีมาตรการชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ จะช่วยให้ SET ค่อย ๆ ฟื้นตัว

KSS ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการสะสมหุ้น เนื่องจาก SET ยังอยู่ใน Deep Value Zone โดยมีค่า PER ปี 2568 อยู่ที่ 13.5 เท่า และหากไม่นับรวมหุ้น DELTA ค่า PER จะอยู่ที่เพียง 11.5 เท่า ปัจจุบันมีหุ้นที่เข้าข่ายการลงทุนระยะยาว ได้แก่ 300 บริษัทที่มี PER ต่ำกว่า 12 เท่า, 435 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 3%, 548 บริษัทที่มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และ 145 บริษัทที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อ KSS แนะนำ 7 หุ้น Deep Value ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ได้แก่ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP และ HMPRO พร้อมกันนี้ยังแนะนำอีก 5 บริษัท ที่เข้าเงื่อนไข PER < 12X, PBV < 1X และ Dividend Yield > 3% ในกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB, BBL ผสาน อสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มมีปัจจัยหนุนเชิงบวก เช่น AP และ SIRI

Strategy Update : Summer Plays

กระแสการเก็งกำไรในหุ้นธีม "หน้าร้อน" กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาเผยว่าในปีนี้ จะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนในไทยสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน ก.พ. 25 - กลางเดือน พ.ค. 25 ภายใต้คาดการณ์กรมอุตุนิยมวิทยาปี 2025F คาดอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบน 35 – 36 องศาเซลเซียส แม้จะต่ำกว่าฤดูร้อนปี 2024 อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 37.5 องศาเซลเซียส แต่ยังใกล้เคียงค่าเฉลี่ยฤดูร้อนปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส แต่จุดที่น่าสนใจคือ ราคาหุ้นหลายตัวมี Deep Discounts จากภาวะตลาดที่ผันผวน สร้างโอกาสระยะยาวด้วยอีกทางหนึ่ง ทีมกลยุทธ์คาด KSS อากาศที่ร้อนสูงขึ้น จะหนุน

1.) การบริโภคเครื่องดื่มที่มีความคึกคักขึ้น

2.) ประชาชนจะมีความต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งพัดลม, แอร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบอากาศร้อน

3.) การทำงานก่อสร้างจะเร่งส่งมอบได้มากกว่าช่วงหน้าฝน

4.) การท่องเที่ยวทะเลที่เป็นจุดเด่นของไทยมักคึกคัก

ภาพรวมดังกล่าวที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มักหนุนกระแสหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์อาทิ กลุ่ม มีภาพถูกเก็งกำไรในช่วงฤดูร้อน อาทิ กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มค้าปลีกที่เน้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้าบรรเทาอากาศร้อน กลุ่มรับเหมา และกลุ่มโรงแรม อิงผลการศึกษาผลตอบแทนย้อนหลัง 9 ปี (ไม่รวมปีที่เผชิญ Covid ในปี 2020 ที่ผลตอบแทนรายกลุ่มกระทบความเสี่ยงตลาด) ช่วงเวลาที่ดีสุดในการลงทุน คือ การลงทุนในช่วงเข้าสู่ฤดูร้อน และขายทำกำไรหลังจากนั้น 1 เดือน โดยช่วงปัจจุบัน คือ ควรเริ่มสะสมหุ้นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของ ก.พ. 25 และขายทำกำไรช่วงปลาย มี.ค. 25 - ต้น เม.ย. 25 โดยกลุ่มโรงแรม (ความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 87.5% ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7%) ตามด้วยกลุ่มรับเหมา (62.5%, 1.6%) กลุ่มค้าปลีก (50%, 1.2%) สูงกว่า SET (50%, 1.1%) ขณะที่ภาพรายบริษัท คือ CRC(100%, 5.3%) ICHI (87.5%, 3.7%) SAPPE (75%, 7.2%) CENTEL (75%, 4.4%) MINT (62.5%, 3.3%) GLOBAL (62.5%, 2.3%) HMPRO (50%, 4.9%) DOHOME (50%, 2.3%)

ในเชิงกลยุทธ์ Summer Plays ปี 2025F KSS แนะนำลงทุนเน้นไปที่กลุ่มที่มีหุ้นอยู่ในโซนฐาน Valuation ไม่แพง ได้แก่ CRC(TP Con-40.6) ICHI (TP25F-17) SAPPE (TP25F-70) CENTEL (TP25F-40) MINT(TP25F-38) HMPRO (TP25F-13.5) และหุ้น Turn around ที่คาดได้ประโยชน์จากหน้าร้อน คือ หุ้นเครื่องดื่ม คือ MALEE(TP25F – 17.7)

Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง

1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"

 

2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก

 

3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก

 

4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ

เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว

Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

Strategy Update: FTSE Rebalance

FTSE GEIS Semi-Annual Review Update มีผลราคาปิด 21 มี.ค. มีหุ้นไทย เข้า/ออก ดังนี้

Standard index (Large-Mid cap)

เข้า : - ออก : EA, IRPC

Small cap

เข้า : CCET, EA, IRPC, SKY, WHART

ออก : BYD, LPN

Micro cap

เข้า : ADVICE, BYD, KBS, LHSC, LPN, MONO, PCE, SPA, SISB, VIBHA

ออก : FTREIT, JR, LALIN, NTV, NRF, KISS, SMIT, SENA, SGP, SKY, SVOA, TAN, TMT, TTCL, UNIQ, WHART

 

• BDMS (Buy, TP25F-37.5): เรามีมุมมอง Slightly positive ต่อข้อมูลจากการประชุมกับ BDMS เนื่องจาก 1) ทิศทางรายได้ต่างชาติมีแนวโน้มเติบโตสูงกว่าเราคาด 2) ยังไม่เห็นความเสี่ยงต่อประมาณการกำไรสุทธิ และ 3) คาด 1Q25F กำไรสุทธิเติบโต y-y q-q เด่นกว่า BH โดยเรายังมองบวกต่อโอกาสเติบโตระยะยาวของ BDMS คาดกำไรสุทธิเติบโตต่อปี +11%CAGR 25-27 คงคำแนะนำ Buy สำหรับ BDMS และเลือกเป็นหุ้นเด่นกลุ่มฯ ร่วมกับ BCH (Buy TP 19)

• Aviation (Neutral): เรามอง Neutral ต่อยอด นทท.สัปดาห์ที่ 10/25 (3-9 มี.ค.) ลดลง -9%yy -4%ww ลดลง w-w ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5 อย่างไรก็ดี ยอด นทท.จีนเริ่มมีสัญญาณบวกฟื้นกลับมาโต w-w เป็นครั้งแรกในรอบ 5 สัปดาห์ แนวโน้มสัปดาห์ถัดไปเราคาดยอด นทท.กลับมาทรงตัว y-y และ w-w เรายังคาดยอด นทท.ปี 2025F ที่ 38 ล้านคน เติบโต +7%yy คงน้ำหนัก Neutral กลุ่มการบิน และยังเลือก AAV (Buy, TP 3.9 บาท) เป็นหุ้น Top pick กลุ่มฯ

• PYLON (Buy, TP25F-2.6): เราคงมุมมองบวกจาก Opportunity day ยืนยันภาพอุตสาหกรรมเสาเข็มเริ่มฟื้นตัว จากปริมาณงานทยอยเพิ่ม และการแข่งขันเริ่มลดลง โดย Backlog สูงสุดรอบ 2 ปี และอาจทำ New high เกิน 1.6 พันลบ. จากยังมีงานประมูลที่โอกาสชนะสูง และแนวโน้มกำไรดีขึ้นเป็นขั้นบันได 1Q-3Q25F คงกำไรปี 25F 94 ลบ. จาก 1 ลบ. ปีก่อน คง "Buy" จาก TP25F 2.6 บาท อิง P/BV 1.8 เท่า

 


2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility

Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE

Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้