Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.กรุงศรี : KSS Daily Strategy

257

 


"Domestic Play"

 

KSS Daily Strategy: คาด SET วันนี้ "พยายามสร้างฐาน" ต้าน 1187/1192จุด รับ 1163/1156 จุด ประเด็นกำหนดทิศทางตลาดไปในทางลบ 1.) ตลาดอยู่ในภาวะ Risk-off เงินลงทุนไหลออกจากหุ้นเทคฯไปกลุ่ม Value และสินทรัพย์ปลอดภัย US Bond Yield 10 ปี ดิ่งลง -10 bps จากความกังวลความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย หลังสหรัฐให้สัญญาณเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจลดการพึ่งพาการใช้จ่ายรัฐ ทำให้ตลาดน่ากลับมารอติดตามท่าทีนโยบายคุณ Trump ที่หากเร่งและหว่านแหจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยง vs ภาพ Base Case ของเรา ประเมินเน้นไปที่การใช้นโยบายค่อยเปนค่อยไป+ต่อรอง ซึ่งนำไปสู่ภาพ Soft Landing 2.) เงินบาทอ่อนค่า 33.9 +/- บาท จิตวิทยาลบ Fund Flows 3.) SET วานนี้ปรับลงแรง ประเมินน่าจะสะท้อนความกังวลความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯบางส่วนแล้ว ขณะที่ตลาดกลับมาอยู่ในโซน Deep Value คือ มีค่า Equity Risk Premium ที่ 4.72% > AVG + 1.5 S.D. คาดจำกัดความผันผวนได้ระดับหนึ่ง 4.) ติดตาม ครม. คาดพิจารณาหลายมาตรการเศรษฐกิจ อาทิ ร่าง พ.ร.บ. SEC, มาตรการท่องเที่ยว ยานยนต์ อสังหา หุ้นนำ คือ หุ้นได้จิตวิทยา Yield ลงหนุน, หุ้น Defensive และเก็งกำไรหุ้นผลประชุม ครม. หนุน และ หุ้นต่างชาติมีสถานะน้อยและมีปัจจัยหนุน อาทิ ปิโตรเคมี วันนี้แนะนำ AP, BCH, MTC

 

Daily outlook: "พยายามสร้างฐาน" ต้าน 1212/1227 จุด รับ 1195/1187 จุด

What happened around the world?

(-)US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐ ปรับลงแรงจากความกังวล US Recession หรือ เศรษฐกิจถดถอยจากนโยบายทรัมป์ (Trumpcession) อิง Dow jones -2.08%d-d, ดัชนี Nasdaq -4.0%d-d, S&P500 -2.7% โดยดัชนี S&P 500 Sector ที่ปรับขึ้นมีเพียง คือ Utilities, Energy ส่วนกลุ่มที่ปรับลงหลักๆคือ IT, Consumer discretionary , ICT, Financial ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ Microstrategy -16.7% ตามราคา Bitcoin ปรับลงต่ำ 8 หมื่น$, Tesla -15%, NVIDIA -5.1%, Broadcom -5.4%, Apple -4.8% Delta airline -5% หลังจากบริษัทปรับลดการคาดการณ์รายได้เนื่องจากความต้องการการเดินทางในสหรัฐฯ อ่อนแอลง ฯลฯ

(*/+) Japan Econ : ค่าจ้างที่แท้จริงของญี่ปุ่นเดือน ม.ค. -1.8%y-y (เป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 3 เดือน) เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพุ่งแตะ 4.7% จากราคาอาหารและน้ำมันที่ กดดันการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างที่เป็นตัวเงิน เป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่รัฐบาลและธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ให้น้ำหนัก โดยตัวเลขที่ออกมาลดแรงกดดันการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่นระยะสั้น โดย KSS ให้น้ำหนักการลงทุนญี่ปุ่นเป็น Neutral

(*/+) Semiconductor Sales: 1.)DELTA Taiwan รายงานยอดขายเดือน ก.พ. 38 พันล้าน $ 40%y-y (ผลจากฐานต่ำในช่วงเดือนก.พ. 2024 จากเทศกาลตรุษจีน) , +2%m-m, +0.1% 2.) CCET รายงานยอดขายเดือน ก.พ. อยู่ที่ 10.9 พันล้านบาท หากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 324 ล้านบาท +12%y-y เพิ่มขึ้นจากยอดขาย SSD ,-13%m-m (จากผลกระทบของเทศกาลตรุษจีน) โดยรวมเป็นจิตวิทยาบวกหนุนคาดการณ์งบกลุ่มชิ้นส่วนในไทยคาดจะออกมาดีตาม มองบวกต่อหุ้นชิ้นส่วนไทยอ่อนๆ ประเมินวันนี้มีจิตวิทยาลบจากหุ้นกลุ่มชิปในสหรัฐที่ปรับลงแรง

(*) To monitors : ฝั่งสหรัฐ US Tariffs: ติดตามท่าทีนโยบายกีดกันการค้า 12 มี.ค. เงินเฟ้อ CPI ทั่วไป ก.พ. 25 ไม่มีคาด y-y คาด +3.0%y-y, +0.3%m-m vs prev. +3.0%y-y, +0.5%m-m 14 มี.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (U of Michigan) มี.ค. 25 (ครั้งแรก) ตลาดคาด 65.0 จุด ดีขึ้นจาก prev. 64.7 จุด ฝั่งจีน การประชุม Two-session ต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนถึง 11 มี.ค.

(*) US Bond Yields & Dollar : US Bond Yields พลิกลง อายุ 2 ปี -10 bps มาที่ 3.89% (โซนแนวต้านทางจิตวิทยาคือ 4.0%) และอายุ 10 ปี -10 bps อยู่ที่ 4.20% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางเดียวกัน) ระยะสั้นมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC กลุ่มหนี้สูง MINT ,CPAXT ในส่วน Dollar Index แกว่งตัวแข็งค่าเล็กน้อย 103.9จุด (มองเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินในสกุลเอเซียแข็งค่า)

(-)Oil: น้ำมันดิบ Brent -1.53%d-d ปิดที่ USD 69.28/barrel, น้ำมันดิบ West Texas -1.51%d-d ปิดที่ USD 66.03/barrel แรงกดดันจากอ1.) กังวลกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน OPEC+ ปรับเพิ่มกำลังผลิต เดือน เม.ย. และความกังวล Recession จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ และมาตรการรีดภาษีของสหรัฐฯจะชะลอเศรษฐกิจโลก มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, PTT แต่ในทางตรงข้ามเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่ม Anti commodity อาทิ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง , กลุ่มสายการบิน AAV, BA

 

What happened in Thailand?

(*/-) SET: SET Index ปรับลง 24.59 จุด (-2.05%) ปิดที่ระดับ 1,177 จุด มูลค่าการซื้อขาย 3.4 หมื่นล้านบาท (จำนวนหุ้นปรับลง 376 บริษัท, หุ้นปรับขึ้น 127 บริษัท) กังวลปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้าและผิดหวังตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอโดยเฉพาะเงินเฟ้อพลิกเป็นติดลบหรือเข้าสู่ภาวะเงินฝืด โดยมี Sector ที่ปรับลง คือ อิเล็กฯ (DELTA, KCE) หลักๆ จาก DELTA ที่ยังมี Valuation แพง พลังงาน (PTT, BGRIM, GPSC) PTT ถูกขายจากเม็ดเงินต่างชาติไหลออก ส่วนกลุ่มโรงไฟฟ้าประเมินแรงกดดันราคาก๊าซปรับตัวเพิ่มขึ้น และ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CRC, DOHOME) ผิดหวังมาตรการ Digital Wallet เฟส 3 ที่เม็ดเงินออกมาต่ำกว่าตลาดคาดหวังก่อนหน้า ส่วน Sector ที่ปรับขึ้น คือ กลุ่มธนาคาร (SCB, TTB) เด่นในฐานะหุ้นจ่ายเงินปันผลสูง

(-) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติเป็นภาพไหลออก ขายหุ้น -99.8 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -5.9 ล้านเหรียญฯ Net Short TFEX ที่ -30,356 สัญญา เงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าสู่บริเวณ 33.9 +/- บาท

(*/+) Cabinet: วันนี้ (11 มี.ค.) ประชุม ครม. คาดว่าจะการนำเสนอ

1.) ร่าง พ.ร.บ. ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Landbridge) ประเมินจิตวิทยาบวกหุ้นรับเหมา STECON, CK หุ้นอิงภาคก่อสร้าง SCC, SCCC

2.) มาตรการเราเที่ยวด้วยกัน ประเมินจิตวิทยาบวก ERW

3.) มาตรการอุตสาหกรรมยานยนต์ อาทิ มาตรการดึง บสย. เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะ จิตวิทยาบวกต่อหุ้นเช่าซื้อ TISCO, KKP, THANI

4.) มาตรการฝั่งภาคอสังหาฯ อาทิ LTV, บ้านล้านหลัง ประเมินจิตวิทยาบวกต่อ AP, SIRI

5.) ร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจร คาดยังน่าจะคงเงื่อนไขที่กฤษฏีกาเสนอ คือ กำหนดคนไทยต้องมีเงินฝาก 50 ล้านบาทขึ้นไป จิตวิทยาบวกต่อหุ้นในธีมดังกล่าว อาทิ BTS, VGI,

5.) มาตรการฝั่งตลาดทุน ประเมินน่าจะเน้นที่เรื่องการปรับเงื่อนไขสำหรับเงินลงทุน LTF ที่เหลืออยู่ หากเปลี่ยนไปถือในกองทุนใหม่ ThaiESG X (ชื่อเบื้องต้น) จะสามารถลดหย่อนภาษีได้ต่อ

(*/+) Hi-Speed Trains: รฟท.-อีอีซี เดินหน้า ก่อสร้างไฮสปีดเชื่อม 3สนามบิน บอร์ดรฟท. นัด 13มี.ค.68 พิจารณาวาระร่างแก้สัญญาไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน ส่งอัยการฯตรวจภายใน1เดือนก่อนเสนอบอร์ดอีอีซี-ครม.ไฟเขียว เม.ย.-พ.ค.นี้ พร้อมออก Notice to Proceed (NTP) มิ.ย. 25 ตอกเสาเข็ม-เปิดให้บริการปี28

(*/-) TH Tourism: ยอดผู้ใช้บริการสนามบินเดินทางออกนอกประเทศ (ชี้นำนักท่องเที่ยวต่างชาติ) 1-8 มี.ค. ผ่านสนามบิน AOT อ่อนตัวลง -1.6%y-y ขณะที่อยู่ใน 86.7% ของ Pre-COVID vs ก.พ. 25 ที่ 93% บ่งชี้ยอดนักท่องเที่ยวสัปดาห์นี้มีโอกาสออกมาอ่อนตัวลง w-w ต่อเนื่อง แม้ส่วนหนึ่งมีผลการเข้าสู่เทศกาลรอมฎอน แต่ระยะสั้นเรายังแนะนำรอหุ้นอิงภาคบริการ ท่องเที่ยว การบินตอบรับประเด็นลบก่อนพิจารณาเข้าลงทุนใหม่ เน้น จุดที่การท่องเที่ยวยังดี อาทิ เกาะสมุย เน้น ERW MINT รวมถึงหุ้นอิงการท่องเที่ยวไทยไม่มาก ขณะที่กำลังอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวประโยชน์จากการลงทุน SHR

(*/-) Digital Wallet Ph III: บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจจะเห็นชอบในหลักการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟสที่ 3 แต่เป็นการแจกให้เฉพาะกลุ่มวัยเรียนในช่วงอายุ 16-20 ปีจำนวน 2.7 ล้านคน หรือ 2.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ช่วงก่อนหน้าที่ 22 ล้านคน หรือ 2.2 แสนล้านบาท โดยส่วนที่เหลือคาดจะทยอยออกในเฟสถัดๆไป อย่างไรก็ดี เรายังแนะนำทยอยสะสมหุ้นแข็งแกร่งในกลุ่ม อาทิ CPALL HMPRO

(*) To monitor: ปัจจัยภายในสัปดาห์นี้ ได้แก่

1.) 11 มี.ค. ประชุม ครม. คาดว่าจะการนำเสนอ ร่าง พ.ร.บ. ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Landbridge) มาตรการเราเที่ยวด้วยกัน ส่วนเรื่องอื่นๆ ติดตามาตรการอุตสาหกรรมยานยนต์ อาทิ มาตรการดึง บสย. เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะ, มาตรการฝั่งภาคอสังหาฯ รวมถึงมาตรการฝั่งตลาดทุน และรายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติรายสัปดาห์

2.) 13 มี.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.พ. 25 ไม่มีคาด vs prev. 59.0 จุด

 

Daily Strategy : AP, BCH, MTC

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ "พยายามสร้างฐาน" ประเมินจิตวิทยาลงทุนวันนี้ค่อนไปทางลบ ตลาดกังวลผลกระทบการเร่งใช้นโยบายคุณ Trump หากเร่งจะสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ ทำให้เกิดภาวะ Risk-off เงินไหลออกไปหุ้น Value ที่ยัง Laggard และสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ SET สะท้อนมาแล้วระดับหนึ่งวานนี้ ประเมิน SET ผันผวนช่วงเปิด แต่มีโอกาสฟื้นตัวระหว่างวันปิดลบแคบลง หุ้นนำ เน้น หุ้นได้จิตวิทยา Yield ลงหนุน, หุ้น Defensive และเก็งกำไรหุ้นผลประชุม ครม. หนุน และ หุ้นต่างชาติมีสถานะน้อยและมีปัจจัยหนุน อาทิ ปิโตรเคมี

 

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, BJC, HMPRO, ADVANC, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (BTS, VGI, BJC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงต่อในปี 2025 (BA, AAV, GULF, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
10 หุ้น Deep Value ที่มีความมั่นคงระยะ 2-3ปีข้างหน้า และอยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว (CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL, AOT)

• MAR25 Stock Picks: AMATA, AP, BA, BH, BTS, CPALL, MTC

• 2025F Stock Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 


Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 


Strategy Update :SET 50/100 interim Rebalance

การเปลี่ยนแปลง SET50/SET100 ระหว่างกาล Update สืบเนื่องจากกรณี GULF, INTUCH จะมีการควบรวมเป็นบริษัทใหม่ คือ GULF Development ซึ่งจะเข้าตลาดวันที่ 3 เม.ย. ทำให้มีการนำหุ้นเข้า SET50/SET100 ใหม่ในระหว่างกาล ดัชนีละ 1บริษัท KSS ได้ประเมินหุ้นที่มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 ใหม่ผลจากประเด็นนี้

SET50 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่ระหว่างกาล Rebalance สิ้นวันที่ 2 เมย คือ VGI (โอกาสเข้า 95%)

SET100 : คาด 1 บริษัทเข้าใหม่จะแข่งกันระหว่าง MOSHI (โอกาส 50%), THCOM (โอกาส 30%), KAMART (โอกาส 20%)

กลยุทธ์ : เราคาดหุ้นที่ถูกนำเข้า SET50/100 จะถูกเพิ่มน้ำหนักจาก Passive Fund เป็นบวกต่อราคาหุ้น โดยในส่วน SET 50 เราแนะนำเก็งกำไร VGI และ BTS บ.แม่ (ถือหุ้น 57.1%) ส่วน SET100 แนะนำเก็งกำไร MOSHI

Strategy Update : ThaiESG Plays

กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดตั้ง กองทุน ThaiESG กองที่ 2 คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยมีวงเงินประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับกองทุน LTF ที่ครบอายุไปแล้ว ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนและสิทธิประโยชน์ยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งอาจแตกต่างจากกองทุน ThaiESG เดิม แต่ยังคงเน้นลงทุนในประเทศ โดยเราประเมินว่าการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจะช่วยชะลอแรงขายจาก LTF เดิมและเสริมสภาพคล่องใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่ถือ LTF ระยะยาว ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 1,620-1,640 จุด

เรามองปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามซึ่งอาจส่งผลบวกต่อตลาดในระยะกลางถึงยาว ได้แก่ การขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากมีการเพิ่มเพดานลดหย่อนของ ThaiESG จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท เท่ากับ LTF เดิม จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นในตลาดมากขึ้น อีกทั้งยังมีการหารือเรื่อง การลงทุนในหุ้นไทย 100% และ การขยายขอบเขตของหุ้น ESG เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนและกระจายความเสี่ยง KSS มองว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการขาดเงินทุนระยะยาวจาก LTF ที่หมดสิทธิประโยชน์ หากภาครัฐมีมาตรการชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ จะช่วยให้ SET ค่อย ๆ ฟื้นตัว

KSS ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการสะสมหุ้น เนื่องจาก SET ยังอยู่ใน Deep Value Zone โดยมีค่า PER ปี 2568 อยู่ที่ 13.5 เท่า และหากไม่นับรวมหุ้น DELTA ค่า PER จะอยู่ที่เพียง 11.5 เท่า ปัจจุบันมีหุ้นที่เข้าข่ายการลงทุนระยะยาว ได้แก่ 300 บริษัทที่มี PER ต่ำกว่า 12 เท่า, 435 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 3%, 548 บริษัทที่มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และ 145 บริษัทที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อ KSS แนะนำ 7 หุ้น Deep Value ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว ได้แก่ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP และ HMPRO พร้อมกันนี้ยังแนะนำอีก 5 บริษัท ที่เข้าเงื่อนไข PER < 12X, PBV < 1X และ Dividend Yield > 3% ในกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB, BBL ผสาน อสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มมีปัจจัยหนุนเชิงบวก เช่น AP และ SIRI

Strategy Update : Summer Plays

กระแสการเก็งกำไรในหุ้นธีม "หน้าร้อน" กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยาเผยว่าในปีนี้ จะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนในไทยสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน ก.พ. 25 - กลางเดือน พ.ค. 25 ภายใต้คาดการณ์กรมอุตุนิยมวิทยาปี 2025F คาดอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบน 35 – 36 องศาเซลเซียส แม้จะต่ำกว่าฤดูร้อนปี 2024 อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 37.5 องศาเซลเซียส แต่ยังใกล้เคียงค่าเฉลี่ยฤดูร้อนปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส แต่จุดที่น่าสนใจคือ ราคาหุ้นหลายตัวมี Deep Discounts จากภาวะตลาดที่ผันผวน สร้างโอกาสระยะยาวด้วยอีกทางหนึ่ง ทีมกลยุทธ์คาด KSS อากาศที่ร้อนสูงขึ้น จะหนุน

1.) การบริโภคเครื่องดื่มที่มีความคึกคักขึ้น

2.) ประชาชนจะมีความต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งพัดลม, แอร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบอากาศร้อน

3.) การทำงานก่อสร้างจะเร่งส่งมอบได้มากกว่าช่วงหน้าฝน

4.) การท่องเที่ยวทะเลที่เป็นจุดเด่นของไทยมักคึกคัก

ภาพรวมดังกล่าวที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มักหนุนกระแสหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์อาทิ กลุ่ม มีภาพถูกเก็งกำไรในช่วงฤดูร้อน อาทิ กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มค้าปลีกที่เน้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้าบรรเทาอากาศร้อน กลุ่มรับเหมา และกลุ่มโรงแรม อิงผลการศึกษาผลตอบแทนย้อนหลัง 9 ปี (ไม่รวมปีที่เผชิญ Covid ในปี 2020 ที่ผลตอบแทนรายกลุ่มกระทบความเสี่ยงตลาด) ช่วงเวลาที่ดีสุดในการลงทุน คือ การลงทุนในช่วงเข้าสู่ฤดูร้อน และขายทำกำไรหลังจากนั้น 1 เดือน โดยช่วงปัจจุบัน คือ ควรเริ่มสะสมหุ้นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของ ก.พ. 25 และขายทำกำไรช่วงปลาย มี.ค. 25 - ต้น เม.ย. 25 โดยกลุ่มโรงแรม (ความน่าจะเป็นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 87.5% ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7%) ตามด้วยกลุ่มรับเหมา (62.5%, 1.6%) กลุ่มค้าปลีก (50%, 1.2%) สูงกว่า SET (50%, 1.1%) ขณะที่ภาพรายบริษัท คือ CRC(100%, 5.3%) ICHI (87.5%, 3.7%) SAPPE (75%, 7.2%) CENTEL (75%, 4.4%) MINT (62.5%, 3.3%) GLOBAL (62.5%, 2.3%) HMPRO (50%, 4.9%) DOHOME (50%, 2.3%)

ในเชิงกลยุทธ์ Summer Plays ปี 2025F KSS แนะนำลงทุนเน้นไปที่กลุ่มที่มีหุ้นอยู่ในโซนฐาน Valuation ไม่แพง ได้แก่ CRC(TP Con-40.6) ICHI (TP25F-17) SAPPE (TP25F-70) CENTEL (TP25F-40) MINT(TP25F-38) HMPRO (TP25F-13.5) และหุ้น Turn around ที่คาดได้ประโยชน์จากหน้าร้อน คือ หุ้นเครื่องดื่ม คือ MALEE(TP25F – 17.7)

Strategy Update: ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน SET UPDATE: เข้าสู่จุด Deep Value เชิงพื้นฐาน แนะนำ 7 หุ้นมูลค่าเพื่อการลงทุนระยะยาว แนะนำ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

Key Ideas: SET ปรับตัวลงแรง -9.86%ytd และอยู่ใน "Value Zone" ดังที่เคยกล่าวในช่วงก่อนหน้า ว่า SET มี Current Equity Risk Premium อยู่ที่ 4.56% สูงกว่า AVG + 1.5 S.D. (4.53%) ที่เป็นจุดกลับตัวตลาดในรอบ 10ปีที่ผ่านมา แต่เพื่อความเด่นชัด ในมิติอื่นๆ ทีมกลยุทธ์ KSS จึงตรวจสอบค่าที่สะท้อนภาวะ "Value Market" ในมิติอื่นๆ อีก 4มิติ พบว่า ตลาดหุ้นไทย ควรค่าแก่การลงทุนระยะยาว และเป็น Deep Value Zone อย่างแท้จริง

1.) Trailing PER หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.42 vs ปัจจุบัน -0.37 "สะท้อนว่าค่อนข้าง Value"

 

2.) PBV หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -0.86 vs ปัจจุบัน -1.97 "Deep Value" มาก

 

3.) Invert Dividend Yield หลังปี 2011 ของ SET จะมีจุดกลับตัว Ex Crisis ที่ Z-Score -1.01 vs ปัจจุบัน -1.58 "Deep Value" มาก

 

4.) GDP ที่ตลาดคาดการณ์ ในปีนั้นๆ ณ จุดกลับตัวหลังปี 2011 Ex Crisis เฉลี่ย 2.36% vs ปัจจุบัน 3% สะท้อนภาพตลาดยังมองการเติบโต ขณะที่ Outlook ปัจจุบันไทย เราเริ่มเห็นแนวทางการสร้าง S Curve ใหม่ๆ

เราประเมินผลกระทบรอบนี้ เกิดจาก แรงขาย Panic Sell จากการปรับลดน้ำหนัก DELTA และแรงขายกองทุน LTF ขณะที่ระดับ SET ตั้งแต่ต่ำกว่า 1300 จุด เริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่ที่มีโอกาสเข้ามา เรามองแนวโน้มตลาด: ช่วงสร้างฐาน (Consolidation Phase) : ระดับแนวรับเชิงพื้นฐานที่กรอบ 1270-1250จุด ขณะที่แนวรับเชิงโครงสร้างเทคนิคระยะยาวของรายเดือนจากฐานปี 2008 สู่ปัจจุบัน อยู่ใกล้เคียงกันที่ 1225 จุด ซึ่งเป็นโซนเหมาะสม สำหรับ Domestic Long Term Fund ที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย หรือ นักลงทุนที่ต้องการการออมในระยะยาว

Strategy : KSS คัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Value ด้วยเงื่อนไขใกล้เคียง SET และธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันสูงทั้งภายในภายนอก และพร้อมเติบโตในอีก 3ปีข้างหน้า ใน "Theme 7 Value Stocks" ดังนี้ CPALL, BDMS, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO

Strategy Update: FTSE Rebalance

FTSE GEIS Semi-Annual Review Update มีผลราคาปิด 21 มี.ค. มีหุ้นไทย เข้า/ออก ดังนี้

Standard index (Large-Mid cap)

เข้า : - ออก : EA, IRPC

Small cap

เข้า : CCET, EA, IRPC, SKY, WHART

ออก : BYD, LPN

Micro cap

เข้า : ADVICE, BYD, KBS, LHSC, LPN, MONO, PCE, SPA, SISB, VIBHA

ออก : FTREIT, JR, LALIN, NTV, NRF, KISS, SMIT, SENA, SGP, SKY, SVOA, TAN, TMT, TTCL, UNIQ, WHART

 

• SIRI (Buy, TP25F-2.34): มุมมอง slightly positive ต่อข้อมูลใน meeting จาก i) YTD presale ทำได้ดี จาก avg. take-up rate ของ condo โครงการใหม่สูงกว่าเป้า ii) 2025F business plan ที่ aggressive กว่ากลุ่มฯ โดยเฉพาะแผนเปิดโครงการใหม่ ทำให้คาด 2025F presale และ transfer target ที่ +5% to +13% เป็นไปได้ iii) ปี 2025F ยังเน้นเปิดโครงการกลุ่ม luxury สัดส่วน 56% ของมูลค่ารวม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ SIRI ชำนาญ ทำให้มีโอกาสเพิ่ม market share ได้ต่อเนื่อง iv) price promotion ยังใช้ต่อเนื่อง อาจกระทบ % GPM ให้ลดลงใน 1H25F แต่อยู่ใน assumption ของเรา โดยคาดเฉลี่ยที่ 31% ใน 2025F v) IBD/E ยังบริหารจัดการได้ และมีโอกาสลดมาที่ 1.40x (จาก 1.50x ใน Dec-24) เราคง TP25F ที่ 2.34 บาท คง BUY และเป็น top pick จากจุดเด่นเรื่องการเป็น first mover ทั้งด้าน product design, จับ trend ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไวได้ดี และกลยุทธ์สร้าง value-added ในทำเลที่มีการโตสูง ซึ่งเป็นส่วนผลักดันให้ 2025F Norm. profit มีโอกาสทำ record high ได้

• ONEE (Neutral, TP25F-2.8): เราเปลี่ยนคำแนะนำเป็น Neutral (จากเดิม Buy) และปรับลดราคาเป้าหมาย (TP25F) เป็น 2.80 บาท (จากเดิม 4.04 บาท) เราปรับลดกำไรปี 2025F-26F ลง -19% และ -32% สะท้อนเม็ดเงินอุตฯ สื่อทีวีมีแนวโน้มลดลง และ ONEE อยู่ในช่วงปรับโครงสร้างธุรกิจทำให้อัตราการทำกำไรลดลง อย่างไรก็ดี เรามองราคาหุ้น ONEE ลดลงสะท้อนแนวโน้มข้างต้นแล้ว ฐานะทางการเงินยังแข็งแกร่ง และคาดให้ Div Yield 4-5% ต่อปี

• Energy & Petrochemical (Neutral): ฝั่งต้นน้ำ (น้ำมันดิบ) -3-6% w-w ปัจจัยลบมาจากความกังวล supply OPEC+ ที่จะออกมาเพิ่มขึ้นตั้งแต่ เม.ย. 25 เป็นต้นไป ในขณะที่ demand มีความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า คงมุมมองราคาน้ำมันดิบ มี.ค. 25 ผันผวน มีทั้งปัจจัยบวก supply disruption จากการคว่ำบาตรพลังงานอิหร่านและรัสเซีย และปัจจัยลบเศรษฐกิจโลกชะลอจากสงครามการค้า

ฝั่งโรงกลั่น ค่าการกลั่นสิงคโปร์ (SG GRM) +74% w-w ความต้องการใช้น้ำมันในภูมิภาคเพิ่มขึ้นในขณะที่ supply ตึงตัวขึ้นจากโรงกลั่นในอินเดีย, เกาหลีใต้ และไต้หวัน มีปิดซ่อม หนุนให้ spread ผลิตภัณฑ์หลักฟื้นหมด 15-235% w-w คงมุมมองค่าการกลั่น มี.ค. 25 ฟื้น m-m ได้ปัจจัยบวกความต้องการใช้น้ำมันของจีนฟื้นตัวและการปิดซ่อม/ลด run ของโรงกลั่นบางส่วนในภูมิภาค

ฝั่งปิโตรเคมี ฟื้น w-w ได้ราคา feedstock ที่ลดลง หนุน i) สายโอเลฟินส์ HDPE spread +10% w-w ส่วน PP spread +9% w-w ii) สายอะโรเมติกส์ทั้ง PX/BZ +0-2% w-w ส่วน iii) สายโพลีเอสเตอร์ (PET) integrated spread +7% w-w คงมุมมองเดือน มี.ค. 25 โอเลฟินส์ ฟื้นต่อ m-m จากการ re-stock ต่อเนื่องของจีนถึง เม.ย. 25 ส่วน PET กลับมาฟื้น m-m ได้ความต้องการ re-stock รับ high season หนุน

ภาพสัปดาห์ สายโอเลฟินส์มีปัจจัยบวกหนุนต่อเนื่อง โดยสัปดาห์ล่าสุดได้ราคา feedstock ที่ลดลงเป็นหลัก ส่วนฝั่งโรงกลั่น ค่าการกลั่นฟื้นตัวสูง (SG GRM กลับมาที่ระดับ 4-5 $/bbl) ตาม demand ของภูมิภาค เรายังชอบกลุ่มโรงกลั่นที่กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัว ในขณะที่ปัจจัยลบความผันผวนของค่าการกลั่นสะท้อนไปในราคาหุ้น 1Q25TD แล้ว คง top pick เป็น SPRC (TP8.0)

 


2025F Equity Outlook : Resilient Domestic Escort amid Market Volatility

Stock Best Picks : ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, TRUE

Mid-Small Cap Play : INSET, JMT, MALEE, MOSHI

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้