สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 13 กุมภาพันธ์ 2568)---นายวิทูร สุริยวนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) GLOBAL เปิดเผยว่า บริษัทมีผลกำไรสุทธิประจำปี2567 เท่ากับ 2,366.86 ล้านบาท ลดลง 311.28 ล้านบาท หรือลดลง 11.26% เมื่อเทียบกับปี2566 และเมื่อเปรียบเทียบผลกำไรสุทธิกับยอดขายคิดเป็น 7.33% ของยอดขายโดยมีปัจจัยหลัก ดังนี้
1) รายได้รวมในปี2567 เท่ากับ 33,014.96 ล้านบาท ลดลงจากปี2566 จำนวน 1.21 ล้านบาท หรือลดลง 0.00% ประกอบด้วย
รายได้จากการขายเท่ากับ 32,285.25 ล้านบาท ลดลง 15.30 ล้านบาท หรือลดลง 0.05% เป็นผลจากการลดลงของยอดขายสาขาเดิม แม้ว่าจะเปิดสาขาใหม่เพิ่มในปี 2567 อีก 7 สาขา
รายได้อื่นเท่ากับ 729.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.52 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.32% เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้เงินสนับสนุนจากคู่ค้า
2) กำไรขั้นต้นในปี2567 เท่ากับ 8,338.87 ล้านบาท คิดเป็นอัตรา 25.83% ของรายได้จากการขาย โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 0.26 เมื่อเทียบกับปี 2566 เนื่องจากการปรับสัดส่วนของสินค้า House Brand
3) ต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายการบริหาร(ไม่รวมค่าเสื่อมราคาและกำไร(ขาดทุน) จากอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เกิดขึ้นจริง และกำไร(ขาดทุน) จากเงินลงทุนชั่วคราวที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง) ในปี 2567 เท่ากับ 4,766.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 462.15ล้านบาท หรือ 10.74% โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวคิดเป็น 14.76% ของยอดขาย เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายกลุ่มเงินเดือนของสาขาที่เปิดใหม่ 7 สาขา
4) ต้นทุนทางการเงินในปี2567 เท่ากับ 311.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 29.88 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10.60% เป็นไปตามหนี้สินทางการเงินที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการดำเนินงาน
5) ค่าใช้จ่ายภาษีเงินในปี2567 เท่ากับ 537.68 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 จำนวน 82.37 ล้านบาท หรือลดลง 13.28% เป็นผลจากกำไรก่อนหักภาษีที่ลดลง
6) กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา(EBITDA)ในปี2567 เท่ากับ 4,568.89 ล้านบาท ลดลงจากปี2566 จำนวน 230.62ล้านบาท หรือลดลง 4.80% เนื่องจากรายได้รวมที่ลดลง
"ผลการดำเนินงานประจำปี 2567 บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (หรือ “บริษัทฯ”) มีกำไรสุทธิ (เฉพาะกิจการ)เท่ากับ 2,114.69 ล้านบาท ลดลง 415.66 ล้านบาท หรือลดลง 16.43% และ เมื่อรวมส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้า และการลงทุนในบริษัทย่อยแล้วจะทำให้บริษัทฯมีผลกำไรสุทธิตามงบการเงินรวม เท่ากับ 2,366.86 ล้านบาท ลดลง 311.28 ล้านบาท หรือลดลง 11.62% เมื่อเปรียบเทียบกับปี2566 เนื่องจากการลดลงของยอดขายตามสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของประเทศอยู่ในระดับสูง ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของประชาชนลดลง แม้ว่าบริษัทฯจะใช้กลยุทธ์ส่งเสริมการขายที่หลากหลาย เพื่อกระตุ้นยอดขายสินค้าอย่างสม่ำเสมอ"
พัฒนาการที่สำคัญ
การขยายสาขา: บริษัทฯมีเป้าหมายการขยายสาขาให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อเพิ่มศักยภาพการเข้าถึงลูกค้า โดยในปีที่ผ่านมาดำเนินการขยายสาขาในประเทศเพิ่มอีก 7 แห่ง ได้แก่ สาขาเดอะไนน์เซ็นเตอร์ติวานนท์ (จ.ปทุมธานี) สาขาพิมาย(จ.นครราชสีมา)สาขาปัตตานี สาขาจะนะ(จ.สงขลา) สาขาสว่างแดนดิน(จ.สกลนคร) สาขาลำปลายมาศ (จ.บุรีรัมย์) และ สาขาสวรรคโลก(จ.สุโขทัย)สำหรับสาขาในต่างประเทศ ได้ขยายสาขาเพิ่มอีก 1 แห่งที่จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา ส่งผลให้ณ 31 ธันวาคม 2567มีจำนวนสาขาที่เปิดดำเนินการแล้วในประเทศรวม 90 สาขา และในประเทศกัมพูชา รวม 2 สาขา
การปรับปรุงสาขา: นอกจากการขยายสาขาเพิ่มแล้ว บริษัทฯยังมีเป้าหมายปรับปรุงร้านสาขาเก่าเพื่อให้มีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยเพิ่มความสะดวกสบาย และยกระดับประสบการณ์ในการเลือกซื้อสินค้าของลูกค้าให้มีความพึงพอใจสูงสุด โดยดำเนินการปรับปรุงร้านสาขาเก่าเพิ่มอีก 9 แห่ง ได้แก่ สาขายโสธร สาขาปทุมธานี สาขาลำพูน สาขาลำปาง สาขาบ้านตาด (จ.อุดรธานี) สาขาอุดรธานีสาขากาญจนบุรี สาขาปราณบุรี(จ.ประจวบคีรีขันธ์) และสาขาเพชรบูรณ์ ทั้งนี้ ณ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯได้ดำเนินการปรับปรุงร้านสาขาเก่าเรียบร้อยแล้วรวม 38 สาขา
ปัจจัยที่อาจมีผลต่อการดำเนินงานหรือการเติบโตในอนาคต
บริษัทฯตระหนักดีว่าธุรกิจค้าปลีกมีความเสี่ยงจากหลายปัจจัยรอบด้าน อาทิภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรม ภาวะเงินเฟ้อ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี กระแสด้านความยั่งยืน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค ล้วนเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงานและการเติบโตในอนาคตของบริษัทดังนั้น เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน บริษัทฯดำเนินงานด้วยกลยุทธ์หลัก 5 ประการ ได้แก่ Customer Centric,Cost leadership, Products & Services , Innovation , Store Expansion และมีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ ดังนี้
การเติบโต ด้วยการขยายสาขา(Store Expansion) ให้ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการทั่วประเทศ ทั้งในระดับจังหวัด และระดับอำเภอ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าในการส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ (Products& Services) เพื่อให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุด (Customer Centric)
การเป็นผู้นำต้นทุน โดยการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายดำเนินงานอย่างเหมาะสม และอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้(CostLeadership) ผ่านโครงการต่าง ๆ อาทิ การใช้พลังงานหมุนเวียนโดยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Rooftop) การใช้รถโฟล์คลิฟท์ระบบไฟฟ้า และการติดตั้งคลังสินค้าอัตโนมัติAS/RS (Automated Storage and Retrieval System) เป็นต้นซึ่งนอกจากช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายดำเนินงานแล้ว ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
การนำเทคโนโลยีขับเคลื่อนธุรกิจ ด้วยการพัฒนาระบบงานต่าง ๆ (Innovation) เพื่อลดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และความสามารถในการแข่งขัน อาทิ การพัฒนาโปรแกรมการตรวจนับสต็อกให้มีความรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการขายสินค้าทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ได้ เป็นต้นนอกจากนี้ บริษัทฯยังคำนึงถึงการสร้างความมั่นคงทางการเงิน โดยการมีวินัยในการใช้สินเชื่อ ควบคู่กับการรักษากระแสเงินสดให้เพียงพอเหมาะสมกับการดำเนินงาน