Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

ฟิทช์ คงอันดับเครดิตของ เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ที่ ‘A(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

465

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(21 มกราคม 2568)-------บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันของโครงการหุ้นกู้ระยะกลาง (Medium-Term Note Program) มูลค่ารวมสี่หมื่นล้านบาท ของบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ที่ ‘A(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ SCGP ที่ระดับ ‘A(tha)’ สะท้อนถึงสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ของ SCGP ที่ ‘a(tha)’ ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของบริษัทแม่ ได้แก่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC, อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘A(tha)’/ แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Methodology, PSL) ฟิทช์พิจารณาว่าบริษัทลูกสามารถมีอันดับเครดิตที่สูงกว่าอันดับเครดิตของบริษัทแม่ได้หนึ่งอันดับ ในกรณีที่บริษัทแม่ถูกปรับลดอันดับเครดิต การพิจารณาดังกล่าวนี้เป็นไปตามการประเมินของฟิทช์ ถึงข้อจำกัดในการเข้าถึงและควบคุมบริษัทลูกทางด้านการบริหารและการเงินโดยบริษัทแม่ในระดับปานกลาง เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และมีคณะกรรมการบริษัทที่แยกจากกัน นอกจากนี้ SCGPมีความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายจัดหาเงินทุนและบริหารเงินสดจากบริษัทแม่

สถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ของ SCGP ที่ ‘a(tha)’ สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในฐานะผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยบริษัทฯมีกระแสเงินสดที่ค่อนข้างสม่ำเสมอและสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งทำให้สถานะทางเครดิตของ SCGP สามารถรองรับการลงทุนประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาทเพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท PT Fajar Surya Wisesa Tbk (Fajar) แม้กำไรจะอ่อนแอลงจากอุปสงค์ที่ชะลอตัวและอุปทานที่ล้นตลาด ในขณะที่ยังคงรักษาระดับหนี้สินให้สอดคล้องกับสถานะเครดิตโดยลำพังของบริษัทฯ

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทแม่อยู่ในระดับที่สูง และลดลงช้า – ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย(หลังรวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วมและหักเงินปันผลจ่ายแก่ผู้ถือหุ้นส่วนน้อย) หรือ EBITDA net leverage ของ SCC จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 6.8 เท่า ณ สิ้นปี 2567 (ณ สิ้นปี2566: 6.1 เท่า) เนื่องจากกำไรที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และการลงทุนประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาทเพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Fajar ฟิทช์เชื่อว่าการฟื้นตัวของกำไรอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนจะช่วยสนับสนุนให้ EBITDA net leverage ของ SCC ลดลงเหลือประมาณ 5.8 เท่าในปี 2568 และ 4.4 เท่าในปี 2569 อย่างไรก็ตามอัตราส่วนกำไรต่อรายได้ที่อ่อนแอกว่าที่ฟิทช์คาดอาจทำให้การลดลงของอัตราส่วนหนี้ของบริษัทฯล่าช้าออกไป ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิต

ฟิทช์เชื่อว่า SCC กำลังจัดทำแผนกลยุทธ์ทางเลือกในการลดหนี้สิน รวมถึงการขายสินทรัพย์ ฟิทช์เชื่อว่า SCC มีแนวโน้มสูงที่จะดำเนินการขายสินทรัพย์ในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งอาจเพิ่มความยืดหยุ่นในการลดหนี้สินได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตามการขายสินทรัพย์ดังกล่าวนี้ยังไม่ได้ถูกนำมารวมในประมาณการของฟิทช์เนื่องจากความไม่แน่นอนและความเสี่ยงในการดำเนินการ

บริษัทลูกแข็งแรงกว่าตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับ – สถานะเครดิตโดยลำพังของ SCGP จะถูกจำกัดให้อยู่ไม่เกินหนึ่งอันดับเหนืออันดับเครดิตของ SCC ในกรณีที่บริษัทแม่ถูกปรับลดอันดับเครดิต ซึ่งเป็นไปตามมุมมองของฟิทช์ถึงข้อจำกัดในการเข้าถึงและควบคุมบริษัทลูกทางด้านการบริหารและการเงินโดยบริษัทแม่ในระดับปานกลาง และกลไกการป้องกันทางกฎหมายในระดับต่ำ

ฟิทช์ประเมินข้อจำกัดในการเข้าถึงและควบคุมบริษัทลูกทางด้านการบริหารและการเงินโดยบริษัทแม่ในระดับปานกลาง เนื่องจาก ทั้ง SCC และ SCGP มีสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีคณะกรรมการบริษัทที่แยกจากกัน และ SCGPมีความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายจัดหาเงินทุนและบริหารเงินสดจากบริษัทแม่ กลไกการป้องกันทางกฎหมายอยู่ในระดับต่ำสะท้อนถึง การที่ไม่มีข้อจำกัดทางกฎหมายในเอกสารสัญญาทางการเงิน เช่น สัญญาเงินกู้ของ SCGP ที่จำกัดการส่งกระแสเงินสดขึ้นไปยัง SCC

ธุรกิจแพคเกจจิ้งฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป – ฟิทช์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ SCGP จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า ฟิทช์เชื่อว่าราคาขายของผลิตภัณฑ์ส่งออกไปยังประเทศจีนจะค่อยๆ ฟื้นตัวตามการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ซึ่งจะทำให้อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA Margin) ของ SCGP ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ฟิทช์ยังคาดว่าการบริโภคของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะฟื้นตัว จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น การเติบโตของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

ค่าใช้จ่ายลงทุนที่ลดลงช่วยลดอัตราส่วนหนี้สิน – ฟิทช์คาดว่า EBITDA net leverage ของ SCGP จะลดลงสู่ระดับ 2.6 เท่า ณ สิ้นปี 2568 และ 2.1 เท่า ณ สิ้นปี 2569 จากที่คาดว่าอยู่ที่ระดับ 3.0 เท่า ณ สิ้นปี 2567 (สิ้นปี 2566: 1.9เท่า) โดยได้รับการสนับสนุนจากกระแสเงินสดสุทธิ (Free cash flow) ที่เป็นบวกจากกำไรที่เพิ่มสูงขึ้น และค่าใช้จ่ายลงทุนที่ลดลง ค่าใช้จ่ายลงทุนจะลดลงอยู่ที่ระดับประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี ระหว่างปี 2568-2569 จากระดับ 2.9 หมื่นล้านบาทในปี 2567 ซึ่งรวมการลงทุนเพิ่มเติมใน Fajar

ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ – อันดับเครดิตของ SCGP สะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำตลาด ในฐานะผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ SCGP มีกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์กระดาษขั้นปลายประมาณ 6.0 ล้านตันต่อปี กำลังการผลิตสินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารและบรรจุภัณฑ์พลาสติกของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน แต่เป็นการเพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำ จากการเข้าซื้อกิจการ

ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายช่วยสนับสนุนความต้องการซื้อ – ฟิทช์คาดว่า SCGP จะเพิ่มกำลังการผลิตและความหลากหลายของสินค้าในช่วงสองถึงสามปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้า และความต้องการซื้อของลูกค้าในผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ประมาณร้อยละ 74 ของรายได้จากบรรจุภัณฑ์ของ SCGP มาจากกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีความต้องการซื้อที่ค่อนข้างสม่ำเสมอตลอดช่วงวัฏจักรเศรษฐกิจและมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูง นอกจากนี้ ธุรกิจของ SCGP ยังได้รับประโยชน์จากการขยายสายการผลิตสินค้าไปยังสินค้าขั้นต้น (Vertical Integration) เช่น กระดาษบรรจุภัณฑ์ซึ่งทำให้บริษัทฯ สามารถลดผลกระทบต่ออัตราส่วนกำไรจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบได้ในระดับหนึ่ง

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
สถานะเครดิตโดยลำพังของ SCGP ใกล้เคียงกับอันดับเครดิตของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘A(tha)’/ เครดิตพินิจภายใต้การพิจารณา) โดยอันดับเครดิตของบริษัททั้งสองได้รับการสนับสนุนจากสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในกลุ่มธุรกิจของตนเอง SCCC เป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่อันดับสองของประเทศไทย แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทมีความอ่อนไหวในช่วงเศรษฐกิจขาลงมากกว่า SCGP เนื่องจาก SCCC มีธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ SCGP มีการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์และกลุ่มธุรกิจของลูกค้าที่หลากหลายกว่า รวมถึงมีความต้องการซื้อจากลูกค้าที่มีความสม่ำเสมอมากกว่า ส่งผลให้ SCGP สามารถรองรับอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่า SCCC ที่อันดับเครดิตเดียวกัน เครดิตพินิจภายใต้การพิจารณาของ SCCC สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ SCCC ต่ออันดับเครดิตของ SCCC ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก

SCGP มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่าบริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘A-(tha)’/ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตฉนวนยางกันความร้อน/เย็น ที่ผลิตจากยางสังเคราะห์ประเภท EPDM, ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ ในเชิงรายได้ และEBITDA EPG มีธุรกิจปลายทางที่กระจายตัวมากกว่า แต่ถูกลดทอนโดย สถานะผู้นำตลาดในธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ในกลุ่มประเทศอาเซียนของ SCGP SCGP มีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่า EPG แต่ด้วยสถานะทางธุรกิจที่ดีกว่า ทำให้ SCGP มีอันดับเครดิตที่สูงกว่า EPG อยู่หนึ่งอันดับ

สมมติฐานที่สำคัญ
สมมติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
- รายได้เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 4-9 ต่อปีในปี 2567-2569 (ปี 2566 ลดลงร้อยละ 11) เนื่องจากปริมาณการขาย และราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น
- EBITDA Margin เพิ่มขึ้นเป็นประมาณร้อยละ12-13 ในปี 2567-2569 (ปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 12) จากการฟื้นตัวของราคาขายและการดำเนินโครงการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนประมาณ 2.9 หมื่นล้านบาทในปี 2567 และประมาณ 1 หมื่นล้านต่อปีหลังจากนั้น
- อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) ที่ระดับประมาณร้อยละ 40


ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยลบ:
- การปรับลดสถานะเครดิตโดยลำพังของ SCGP
- การประเมินข้อจำกัดในการเข้าถึงและควบคุมบริษัทลูกทางด้านการบริหารและการเงินโดยบริษัทแม่เป็นระดับต่ำ

ปัจจัยบวก:
- การปรับเพิ่มของสถานะเครดิตโดยลำพังของ SCGP โดยอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ SCC ไม่เปลี่ยนแปลงสำหรับสถานะเครดิตโดยลำพังของ SCGP

ปัจจัยลบ:
- EBITDA net leverage ของ SCGP อยู่ในระดับสูงกว่า 3.5 เท่า อย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยบวก:
- สถานะทางธุรกิจที่ดีขึ้น และขนาดของธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ของ SCGP โดยวัดจาก EBITDA ที่สูงขึ้น และการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ที่ดีขึ้นและมีประเภทสินค้าที่หลากหลายขึ้น

สำหรับอันดับเครดิตของ SCC ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคตได้แสดงในรายงานอันดับเครดิตของฟิทช์ดังนี้
ปัจจัยลบ:
- บริษัทฯ ไม่สามารถทำตามปัจจัยบวกข้างต้นได้

ปัจจัยบวก:
- แนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับกลับมาเป็นมีเสถียรภาพได้ หากบริษัทฯ สามารถลด EBITDA net leverage ลงมาอยู่ในระดับประมาณ 4.5 เท่าได้ภายในปี 2569

สภาพคล่อง
SCGP มีหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2568 จำนวน 4.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งรวมถึงเงินกู้ยืมระยะสั้นที่มีลักษณะเป็นวงเงินหมุนเวียน จำนวน 2.5 หมื่นล้านบาทซึ่งฟิทช์คาดว่า SCGP จะสามารถเบิกเงินกู้ใหม่หมุนเวียนทดแทนเงินกู้เดิมได้ในการดำเนินธุรกิจตามปกติ SCGP มีเงินสดและเงินลงทุนที่มีสภาพคล่องเทียบเท่าเงินสด (ตามการปรับปรุงตัวเลขของฟิทช์) จำนวนประมาณ 1.0 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพียงเพียงพอสำหรับการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวประมาณ 6.4 พันล้านบาทที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้สภาพคล่องของ SCGP ยังได้รับการสนับสนุนจากความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อทดแทนเงินกู้เดิมที่แข็งแกร่ง ผ่านตลาดทุนและสถาบันการเงินในประเทศ

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

ผถห. SSP ผ่านฉลุย! จ่ายปันผล 0.20 บาท/หุ้น

ผถห. SSP ผ่านฉลุย! จ่ายปันผล 0.20 บาท/หุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้