"Domestic & Service Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "แกว่งในกรอบ" ต้าน 1473/1476 จุด รับ 1455/1446 จุด ต่างประเทศรอ 3 ประเด็นคือการเลือกตั้งสหรัฐ 5 พ.ย. (รู้ผลราว 6 พ.ย. เป็นต้นไป) อิงจากสถิติหลังการเลือกตั้งสหรัฐ 2 รอบก่อนหน้า เดือน พ.ย. - ธ.ค. SET ให้ผลตอนเป็นบวก, การประชุม NPC ของจีนลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ประชุมต่อเนื่องถึงวันที่ 8 พ.ย.) และ 6-7 พ.ย. ประชุม Fed (รู้ผลเช้าวันที่ 8 พ.ย.) คาดลดดอกเบี้ยฯ 25 bps ส่วนภายในภาพทางพื้นฐานยังบวก ตัวเลขยอดผู้ใช้บริการสนามบิน AOT (ชี้นำนักท่องเที่ยวต่างชาติ)ในช่วงวันที่ 1 – 2 พ.ย. 2024 ปรับขึ้นทะลุ Pre – covid ที่ระดับ 103.6% ผสานกับรัฐบาลนายกฯ เมื่อวานเร่งรัดให้ทุกหน่วยงานเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 80% ของงบลงทุนทั้งหมดที่ 9.6 แสนล้านบาท โดยรวมประเมิน GDP Growth ไทยปี 2024 คาด 2.4%y-y มี Upside มองบวกต่อ SET โดยประเด็นที่ต้องตามวันนี้ เงินเฟ้อไทย เดือน ต.ค. ตลาดคาด 0.96% และประชุม ครม. ลุ้น มาตรการกระตุ้นฝั่งอสังหา ประเมินหุ้นนำ หุ้นพลังงาน (น้ำมันบวกแรง 2%) หุ้น China play กลุ่มอสังหา, หุ้นอิงบริการ(สนามบิน, โรงแรม) วันนี้แนะ ADVANC, AOT, CPALL
Daily outlook: "แกว่งในกรอบ" ต้าน 1473/1476 จุด รับ 1455/1446 จุด
What happened around the world ?
(*/-)US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงเล็กน้อย นักลงทุนขายลดความเสี่ยงก่อนรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐช่วงกลางสัปดาห์ อิง Dow jones -0.61%, ดัชนี S&P500 -0.28% และดัชนี Nasdaq -0.31% โดยดัชนี S&P 500 Sectors ที่ปรับขึ้นหลักๆ คือ Energy, Real estate, Materials, Consumer staple ส่วน Sector ที่ปรับลงหลักๆ คือ Utilities, ICT, Financials ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่นคือ Tesla -2.47%, Amazon -1.1% Trump media +12% หนุนจากคาดการณ์ Trump จะชนะการเลือกตั้ง ฯล
(*) US Earning : สหรัฐรายงานผลประกอบการ 3Q24 ออกมาล่าสุดรวม 372 จาก 499 บริษัท โดยกำไรรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐ อิง กำไรที่ออกมาดีกว่าคาด(Surprise) ราว 6.56% จากวันก่อนที่ 6.67% และ เติบโต 8.15% จากวันก่อนที่ +8.3%y-y
(*)US Econ: ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเมื่อคืนออกมาผสมผสาน และยังสนับสนุนการลดดอกเบี้ยสหรัฐในช่วงที่เหลือของปี 1.) คำสั่งซื้อสินค้าจากโรงงาน เดือน ก.ย. -0.5%m-m ต่ำคาด และติดลบ 2 เดือนติด 2.)ยอดขายรถยนต์ รวมเดือน ต.ค. ปรับเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 2 เดือน และทำจุดสูงสุดในรอบ 4 ปีที่ 16.2 ล้านคัน มากกว่าตลาดคาดที่ 15.6 ล้านคัน
(*/+)India PMI : PMI ภาคการผลิตอินเดีย เดือนต.ค. โตแกร่ง อยู่ที่ระดับ 57.5 จุดสูงกว่าตลาดคาดเล็กน้อย prev. 56.5 จุด เศรษฐกิจอินเดียที่มีสัญญาณเติบโต บวกต่อหุ้นที่มีธุรกิจเชื่อมโยงกับอินเดีย อาทิ กลุ่มโรงฟ้า : มอง GPSCเป็นผู้มีโอกาสได้ประโยชน์โดยตรงจากมีฐานธุรกิจไฟฟ้าในอินเดียอยู่แล้ว (Avaada) เราประเมินเบื้องต้น ทุกๆ การได้กำลังการผลิตเพิ่ม 100MWe จะเป็น upside ราว 0.3-0.4 บาท/หุ้น กลุ่มท่องเที่ยวและบริการ อาทิ สายการบิน, สนามบิน, โรงแรม อาทิ AOT, AAV, SPA, MINT ฯลฯ จะได้ประโยชน์ โดยนักท่องเที่ยวอินเดียมีศักยภาพและคิดราวอันดับ 4 ของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ กลุ่มส่งออกอาหาร อาทิ CPF, TU สัดส่วนรายได้จากอินเดียราว 5% ของรายได้รวม
(*)US – China Tariff : Reuters เผยโรงงานโซลาร์เซลล์ยักษ์ใหญ่หลายแห่งของจีน ้ได้ทยอยย้ายฐานการผลิตไปประเทศข้างเคียง อาทิ อินโดนีเซียและลาว กัมพูชา มาเลเซีย และไทย ซึ่งสหรัฐฯ ไม่ได้มีการประกาศใช้มาตรการใด จากนโยบายกีดกันการค้า KSS มองเป็นโมเมนตัมบวกต่อกระแสย้ายฐานการผลิต มองบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม AMATA, WHA
(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ : 5 พ.ย. ติดตามการเลือกตั้งสหรัฐฯ คาดว่าจะทราบอย่างไม่เป็นทางการในวันที่ 6 พ.ย. ของไทย 6-7 พ.ย. Fed Meeting:(ไทยทราบผลเช้า 8 พ.ย.) ติดตามประชุม Fed MUFG คาด Fed จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง -25 bps เหลือ 4.5-4.75% สอดคล้องกับมุมมองของตลาด ฝั่งจีน 7 พ.ย. ยอดส่งออก - นำเข้า ต.ค. 24 ไม่มีคาด prev. +2.4%y-y และ +0.3%y-y
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ อายุ 2 ปี ปรับลง -5 bps อยู่ที่ 4.16% และอายุ 10 ปี ปรับลง -9 bps อยู่ที่ 4.29% (US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) มองเป็นจิตวิทยาบวกหนุนต่อกลุ่มการเงิน MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF ส่วน Dollar Index ผันผวนพลิกอ่อนค่าลงมรอยู่ที่ 103.8 จุด
(+) Oil : น้ำมันดิบปรับขึ้นแรง และปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 อิง Brent +2.74%d-d ปิดที่ USD 75.1/barrel, น้ำมันดิบ West Texas +2.85%d-d ปิดที่ USD 71.4/barrel แรงหนุนระยะสั้นมาจากกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน OPEC+ ประกาศเลื่อนการเพิ่มการผลิตน้ำมันที่วางแผนไว้ในเดือน ธ.ค.ออกไป 1 เดือน นาโดยรวมมที่ตลาดคาด โดยรวมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ PTT, PTTEP
What happened in Thailand?
(+/-) SET : SET Index วานนี้ปิดลบ 1.22 จุด (-0.08%) ปิดที่ระดับ 1,463 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบาง 2.8 หมื่นล้านบาท นักลงทุนชะลอการซื้อขายรอดูผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ หุ้นที่ปรับลงกดดัชนี คือ กลุ่มประกัน (TLI, BLA) ขายทำกำไรและมีจิตวิทยาลบหลัง US Bond yield เริ่มปรับลง, กลุ่มอสังหาฯ (LH, LPN) Preview งบ 3Q24 น่าผิดหวัง แต่ดัชนีปรับลงจำกัด เนื่องจากตลาดมีแรงซื้อหุ้น TOP, BCP รับค่าการกลั่นเร่งขึ้นแตะระดับ 6.35$/bbl (+24%dod) หุ้นกลุ่มค้าปลีก CPALL, CRC, BJC รับ High season และ รัฐกระตุ้นกำลังซื้อ ช่วยประคองดัชนี
(-) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด (4 พ.ย.2024) ไหลออก ซื้อหุ้น 0.7 ล้านเหรียญ, ขายพันธบัตร -88 ล้านเหรียญฯ และ TFEX Net Short 3284 สัญญา, เงินบาทแกว่งตัว 33.7 บาท
(+) TH Tourism: ยอดผู้ใช้บริการสนามบิน AOT เดินทาง ตปท. (ชี้นำนักท่องเที่ยวต่างชาติ)ในช่วงวันที่ 1 – 2 พ.ย. 2024 ปรับขึ้นทะลุ Pre – covid ที่ระดับ 103.6% และเป็นภาพเร่งขึ้นเมื่อเทียบจากช่วงวันที่ 1 – 31 ต.ค. ที่ระดับ 89.3% บ่งชี้การท่องเที่ยวของไทยเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว (High season) เต็มรูปแบบ ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีโอกาสเป็นไปตามเป้า เราคงประมาณการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ไว้ที่ระดับ 35.5-36 ล้านคนตามเดิม เชิงกลยุทธ์ แนะนำทยอยสะสมหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและกลุ่มธุรกิจเกี่ยวข้อง เน้น AOT (TP-64.5), AAV (TP-3.9), ERW (TP-4.3), และ AWC (TP-4.4)
(*/+) TH Budget Disbursement: นายกฯ เมื่อวานเร่งรัดให้ทุกหน่วยงานเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 80% ของงบลงทุนทั้งหมดที่ 9.6 แสนล้านบาท เพื่อขับเคลื่อน GDP เราเช็คข้อมูลเบื้องต้นของกรมบัญชีกลางนับตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือน ต.ค. มียอดเบิกจ่ายลงทุนแล้วทั้งสิ้น 8.12 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 8.44% ของงบประมาณรวม แต่หากคิดเป็นค่าเฉลี่ยรวมทั้งปีทำได้มากกว่าเป้าราว 2% เป็นบวกต่อแนวโน้ม GDP ที่จะเร่งตัวขึ้นใน 4Q24 จากการขับเคลื่อนของ 3 ฟันเฟือง คือ การบริโภค, ท่องเที่ยว และ การใช้จ่ายภาครัฐ (เดิมการใช้จ่ายภาครัฐเป็นตัวฉุด) เชิงกลยุทธ์ เรามองบวกหุ้นได้ประโยชน์จากการเบิกงบรัฐฯ ที่ดี ธนาคาร เน้น KTB, วัสดุก่อสร้าง เน้น TASCO, กลุ่มค้าปลีก CPALL, กลุ่มซ่อมแซ่มบ้าน เน้น GLOBAL ไม่มี Overhang จากงบ 3Q24
(*/+) Cabinet meeting: วันนี้ รมว. คลังเตรียมเสนอ ครม. อนุมัติมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ผ่านโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ "ซื้อ - แต่ง - ซ่อม และ สร้างบ้าน" มูลค่ารวม 5.5 หมื่นล้านบาท และเตรียมหารือขยายอายุมาตรการ ลดค่าธรรมเนียมการโอน และจดจำนอง ที่จะหมดอายุโครงการ ณ สิ้นปีนี้ และหารือแบงก์ชาติ ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV เป็นจิตวิทยาบวกต่อ 3 กลุ่มธุรกิจ คือ 1) อสังหาฯ (AP, SIRI), 2) กลุ่มธนาคารที่มีสินเชื่ออสังหาฯสูง SCB 32% ของยอดสินเชื่อ, TTB 25%, KTB 19%, KBANK 17% และ 3)กลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง (HMPRO, ILM, DOHOME, GLOBAL)
(+) MSCI Rebalance: 6 พ.ย. MSCI จะประกาศน้ำหนัก รวมถึงผลคัดเลือกหุ้น เข้า/ออก ดัชนีรอบใหม่ (MSCI Rebalance) มีผลบังคับ โดย ใช้ราคาปิด ณ วันที่ 25 พ.ย. 2024 เบื้องต้นเราคาดว่าจะไม่มีหุ้นไทยได้ปรับ เข้า/ออก จากคำนวณในดัชนีรอบนี้ อย่างไรก็ตามเราคาดว่าจะมีหุ้น Big Cap ของไทยในหลายบริษัทมีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักการลงทุน อาทิ GULF, KTC, TRUE, KTB, CPAXT,
AOT, KBANK, CPALL, และ ADVANC เป็นจิตวิทยาบวกกับหุ้นข้างต้น
(*) To monitor: ปัจจัยที่ต้องติดตาม 5 พ.ย. ก.พาณิชย์รายงานเงินเฟ้อ (CPI) ต.ค. 24 Consensus คาด ทรงตัว m-m, +0.93%y-y vs prev. -0.1%m-m, +0.61%y-y, 8 พ.ย. ม.หอการค้าฯ รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ต.ค. ส่วนบริษัทจดทะเบียนประกาศงบ 3Q24 อังคาร DOHOME,IRPC พุธ PTTGC, QH, ITC, TU, พฤหัสบดี BCP, BH, BJC, CPAXT, GPSC, OR, NER, TACC, และวันศุกร์ CBG, INTUCH, JMT, STA, STGT, TOP, WHA, WHAUP หุ้นที่คาดกำไรดี คือ TU, BH, CPAXT, CBG, WHA, INTUCH
Daily Strategy : ADVANC, AOT, CPALL เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทย "แกว่งในกรอบ" ต่างประเทศรอ 3 ประเด็นคือการเลือกตั้งสหรัฐ 5 พ.ย. (รู้ผลราว 6 พ.ย. เป็นต้นไป) อิงจากสถิติหลังการเลือกตั้งสหรัฐ 2 รอบก่อนหน้า เดือน พ.ย. - ธ.ค. SET ให้ผลตอนเป็นบวก, การประชุม NPC ของจีนลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ประชุมต่อเนื่องถึงวันที่ 8 พ.ย.) และ 6-7 พ.ย. ประชุม Fed (รู้ผลเช้าวันที่ 8 พ.ย.) คาดลดดอกเบี้ยฯ 25 bps ส่วนภายในภาพทางพื้นฐานยังบวก ตัวเลขยอดผู้ใช้บริการสนามบิน AOT (ชี้นำนักท่องเที่ยวต่างชาติ)ในช่วงวันที่ 1 – 2 พ.ย. 2024 ปรับขึ้นทะลุ Pre – covid ที่ระดับ 103.6% ผสานกับรัฐบาลนายกฯ เมื่อวานเร่งรัดให้ทุกหน่วยงานเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 80% ของงบลงทุนทั้งหมดที่ 9.6 แสนล้านบาท โดยรวมประเมิน GDP Growth ไทยปี 2024 คาด 2.4%y-y มี Upside มองบวกต่อ SET โดยประเด็นที่ต้องตามวันนี้ เงินเฟ้อไทย เดือน ต.ค. ตลาดคาด 0.96% และประชุม ครม. ลุ้น มาตรการกระตุ้นฝั่งอสังหา ประเมินหุ้นนำ หุ้นพลังงาน (น้ำมันบวกแรง 2%) หุ้น China play (กลุ่มปิโตร) หุ้นอิงภาคบริการ
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT
กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์/ทนทานต่อความเสี่ยงผลการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ (KTB, GPSC, GULF, ADVANC, CPALL, BDMS, WHA)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AAV, BA, AU)
กลุ่มคาดกำไร 3Q24F จะออกมาดี (IVL, ADVANC, CPALL, TRUE, AWC และ MOSHI)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, CPAXT)
• 4Q24 Stock Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : US Election 2024 and Global Market Impact
ทีมกลยุทธ์ออกรายงานกลยุทธ์ลงทุนก่อนเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ ระยะสั้นเรามองสินทรัพย์เสี่ยงก่อนการเลือกตั้ง 1-2 สัปดาห์ น่าจะแกว่งออกข้างเป็นหลัก รอความชัดเจนก่อนการเลือกตั้ง นักลงทุนควรเตรียมตัวปรับพอร์ตตามสถานะการณ์ดังที่ KSS ประเมินไว้ 4 กรณี ในระยะนี้ เบื้องต้น KSS คงมุมมองบวกต่อแนวโน้ม SET Index หลังเลือกตั้ง น่าจะตอบรับช่วง Honeymoon Period รับผล US Election ไปก่อน อย่างไรก็ดี ผู้ต้องการลดความเสี่ยงจากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ล่วงหน้า แนะนำ BANK (KTB), UTILITIES (GPSC, GULF), TELCO (ADVANC), Consumer Staples (CPALL), Health(BDMS, CHG), IE (WHA)
KSS ประเมินสถานการณ์การเลือกตั้งสหรัฐฯ 4 กรณี
1) กรณี Red Wave (พรรค Republican ครองสภาบนและสภาล่าง)
• มองแนวนโยบาย American First อาทิ การลดภาษีนิติบุคคล และการยกระดับมาตรการกีดกันทางการค้า จะส่งผลบวกต่อการลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากสมมติฐานหลัก ซึ่งมาพร้อมกับความเสี่ยงแรงกดดันต่อเงินเฟ้อที่ลดระดับช้าลง กระทบวงจรดอกเบี้ยขาลงที่น่าจะช้ากว่าที่ตลาดประเมินไว้เดิม
• กรณีนี้สร้างความผันผวนต่อสินทรัพย์เสี่ยงโลกในช่วงปลายปี 2024 - ต้นปี 2025 โดย EM Assets จะผันผวนจาก Dollar Index ที่พลิกแข็งค่าขึ้นไว แต่อย่างไรก็ดี KSS ประเมินกลุ่ม TIPs จะผันผวนน้อยกว่า จากตลาดหุ้นกลุ่มนี้ มีสัดส่วนรายได้โดยตรงจากจีน+สหรัฐฯ ที่ต่ำกว่า 10% น้อยกว่า EM อื่นๆ ผสานนโยบายการเมืองระหว่างประเทศเป็นกลาง และตลาดหุ้นยังมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย อีกทั้งยัง Laggard ภายใต้เศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวเร่งขึ้น
• ทางเลือกการลงทุนหุ้น คือ หุ้นที่ได้ประโยชน์/ทนทานต่อภาวการณ์กีดกันทางการค้า นำโดยกลุ่มนิคมและกลุ่มส่งออกอาหาร รวมถึงหุ้น Domestic อาทิ ค้าปลีก สื่อสาร ร.พ. ธนาคาร
• ทั้งนี้ เรามอง Red Wave จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับสูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อจากสงครามการค้า และส่งผลเชิงลบต่อการลงทุนในตราสารหนี้ ในระยะสั้น-กลาง
2) กรณี Blue Wave (พรรค Democrat ครองสภาบนและสภาล่าง)
• นโยบายที่ตรงข้ามกับ Republican อาทิ ขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและบริษัทเป็นปกติที่ 28% (เดิม 21%) ผสาน การผลักดันนโยบาย Green Energy และรวมถึงใช้มาตรการกีดกันทางการค้าระดับใกล้เคียงปัจจุบัน จะช่วยให้ภาพวงจรเงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาลงเดินหน้าต่อ Dollar จะอ่อนค่า
• เร่งปรากฏการณ์ Search for Yield หนุน Fund Flow มายัง EM Asia รวมถึงไทยต่อเนื่อง หุ้นอิง Theme Data Center+ดอกเบี้ยขาลง (โรงไฟฟ้า สื่อสาร เช่าซื้อ) ผสาน หุ้น Domestic ที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจภายใน (ค้าปลีก ธนาคาร ท่องเที่ยว)
• นอกจากนี้ ภาพ Blue Wave ยังเป็นบวกต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ส่งผลเชิงบวกต่อการลงทุนตราสารหนี้โลก
3) กรณี Republican President + Democratic Congress :
• เรามอง นโยบายหลักของพรรค Republican ที่จะถูกผลักดันจำกัดกว่ากรณี Red Wave ทั้งนี้ ในกรณีนี้เรามองค่อนข้างบวกต่อหุ้นสหรัฐ เนื่องจากทิศทางหลักเป็นนโยบายลักษณะ American First และการลดภาษี แม้จะทำได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่ากับกรณี Red Wave
• ตลาดหุ้นอื่นๆ จะเริ่มผันผวนต้นปี 2025 แต่ภาพ EM Asia จะผันผวนน้อยกว่ากรณี Red Wave โดยเฉพาะ TIPs ที่มีการปรับโครงสร้างการค้า และภาคการผลิตมาตั้งแต่ปี 2018-ปัจจุบัน และตลาดหุ้น TIPs ยังมีสัดส่วนรายได้โดยตรงจากสหรัฐฯและจีนต่ำ
• แนะนำ หุ้นที่ได้ประโยชน์/ทนทานต่อภาวการณ์กีดกันทางการค้า นำโดยกลุ่มนิคม หุ้นส่งออกอาหาร และหุ้น Domestic อาทิ ค้าปลีก สื่อสาร ร.พ. ธนาคาร
• ในกรณีนี้เรามองอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะยังแกว่งตัวในกรอบ โดยมีโอกาสปรับขึ้นก่อนแกว่งตัวลง ให้รอจังหวะ ก่อนลงทุนรับวงจรเงินเฟ้อและดอกเบี้ยโลกขาลงแบบค่อยเป็นค่อยไปหลังจากนั้น มองเป็นกลางถึงบวกอ่อนๆต่อการลงทุนในพันธบัตร
4) กรณี Democratic President + Republican Congress :
• เรามอง นโยบายหลักของพรรค Democrat จะถูกคัดค้านอย่างต่อเนื่องจากเสียงส่วนใหญ่ในสภาบน ที่มาจากขั้วตรงข้าม ส่งผลให้การผลักดันนโยบายเป็นไปได้อย่างจำกัดใน กรณีนี้เรามองเป็นกลางต่อหุ้นสหรัฐ แต่ Upside จำกัดจากระดับ Valuation ที่ตึงตัว และความเสี่ยงเศรษฐกิจอ่อนลงที่รออยู่
• มอง Fund Flow จะทยอยไหลเข้า EM Asia รายประเทศ ขึ้นกับทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในกรณีนี้เรามองหุ้นไทยยังมีโอกาส "outperform" ได้ แต่จะต้อง Selective ตามปัจจัยกระทบที่ค่อนข้างสูง
• หุ้นเด่นเรามอง Theme Data Center+ดอกเบี้ยขาลง (โรงไฟฟ้า สื่อสาร เช่าซื้อ) ผสาน หุ้น Domestic ที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจภายใน (ค้าปลีก ธนาคาร ท่องเที่ยว)
Strategy: ในระยะนี้ ผู้ต้องการลดความเสี่ยงจากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ล่วงหน้า ให้เน้นลงทุนในหุ้น Theme US Election หุ้นได้ประโยชน์การเลือกตั้ง + กระแส FDI เข้าไทยที่ดีช่วงหลัง ผสาน หุ้น Domestic ที่หลบเลี่ยงผลกระทบได้ดี ดังนี้ BANK (KTB), UTILITIES (GPSC, GULF), TELCO (ADVANC), Consumer Staples (CPALL), Health(BDMS, CHG), IE (WHA)
• Strategy Update : 3Q24F Earnings Plays
ช่วงต้นเดือน ต.ค. - กลางเดือน พ.ย.2024 เป็นช่วงรายงานผลประกอบของบริษัทจดทะเบียนไทยงวด 3Q24 หลังจากผ่านช่วงรายงานผลประกอบการกลุ่มธนาคารแล้ว จะเข้าสู่ช่วงการรายงานผลประกอบฝั่ง Real Sector โดยก่อนรายงานมักมีกระแสการเก็งกำไรเข้าซื้อในหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการจะออกมาดี เติบโต y-y, q-q หรือ หุ้นที่มีสัญญาณผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุด (เริ่มฟื้นตัว q-q)
ทีมกลยุทธ์ KSS รวบรวมข้อมูลคาดการณ์งบงวด 3Q24 ทีมีการประมาณการณ์ อิงจาก Bloomberg รวมทั้งหมด 96 บริษัท เพื่อค้นหาหุ้นที่มีความน่าสนใจต่อการเข้าเก็งกำไร
กลยุทธ์ แนะนำเก็งกำไรในหุ้นที่คาดจะรายงานงบ 3Q2024 ออกมาเด่น y-y , q-q และอยู่ในธีมหลักในการลงทุนที่ เรามองจะเด่นในปัจจุบัน ประกอบด้วย
o หุ้น China play IVL, AU
o หุ้นกลุ่มวงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงหนุน TRUE, MTC, GPSC, ADVANC, CPALL, CPF
o หุ้นได้ประโยชน์ธีม US Election หรือ ทนต่อความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากผลการเลือกตั้ง AMATA, WHA, BDMS
o หุ้น Mid small -Cap เน้น MOSHI
〽️Best Picks : เราเลือกหุ้นเด่น 5 บริษัทใน Theme 3Q24F Earnings Plays คือ IVL, ADVANC, CPALL, TRUE และ MOSHI
• Strategy Update :SET50/100 Rebalance เก็งกำไร BANPU SAWAD และ COM7
ทีมกลยุทธ์ได้คำนวณหุ้นเข้า/ออก SET50-SET100 สำหรับรอบ 1H25 ก่อนที่ตลาดจะประกาศการคัดเลือกหุ้นเข้าออกรอบนี้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2024 และมีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025 โดยสำหรับผลการคำนวนในรอบนี้ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2023 – 30 ก.ย. 2024 (ยังเหลือข้อมูลราว 2 เดือน) ผลของการคาดการณ์น่าจะมีความใกล้เคียงในส่วนของ SET50 แต่อาจคาดเคลื่อนในส่วนของ SET100 ซึ่งคาดว่าบทวิเคราะห์ฉบับนี้จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในดัชนี SET50 และ SET100 ล่วงหน้าได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 90%), SAWAD (โอกาสเข้า 90%), COM7 (โอกาสเข้า 90%) และ TCAP (โอกาสเข้า 60%)
• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ BCP (โอกาสหลุด 60%), TIDLOR (โอกาสหลุด 60%), CENTEL (โอกาสหลุด 90%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)
• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 3 บริษัท คือ CCET, COCOCO และ JTS
• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 3 บริษัท คือ TIPH, MBK และ RBF
• Strategy Update : Data Center
กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP
มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)
Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE
• PTT(Buy, TP-38.5) ธุรกิจก๊าซฯ ยังไม่พอกลบ stock loss ของบริษัทลูก เรามอง Negative ต่อแนวโน้มกำไรสุทธิ 3Q24F ของ PTT คาดราว 16,800 ลบ. (-46% y-y, -53% q-q) แย่ลง y-y, q-q ถูก stock loss ก้อนใหญ่ของฝั่งโรงกลั่นและปิโตรเคมี กลบการฟื้นตัว (q-q) ของธุรกิจก๊าซฯ ที่ไม่ต้องแบกภาระ single pool ย้อนหลังเหมือน 2Q24 เราคาด 4Q24F จะกลับมาฟื้น y-y q-q (ฐานต่ำ) หลัง stock loss ของบริษัทลูกน้อยลง คงคำแนะนำ Neutral ที่ TP25F = 38.5 แนะนำถือรับปันผล กำไรปกติทรงตัวอยู่ในระดับสูง
• Energy & Petrochemical (Neutral) ฝั่งต้นน้ำ (น้ำมันดิบ) -1-2% w-w ปัจจัยลบกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอจากสงครามฯ มีเหนือปัจจัยบวกความคาดหวัง OPEC+ เลื่อนแผนเพิ่มกำลังการผลิตออกไปอย่างน้อย 1 เดือน คงมุมมองพ.ย. 24 ราคาน้ำมันดิบยังผันผวน ฝั่งโรงกลั่น ค่าการกลั่นสิงคโปร์ (SG GRM) +31% w-w ตาม Jet spread +18% w-w และ Gasoil +16% w-w หนุนจาก ความต้องการ re-stock รับฤดูหนาว, การท่องเที่ยวฟื้น และการปิดซ่อมนอกแผนของโรงกลั่นอินโดฯ คงมุมมองค่าการกลั่น พ.ย. 24 ฟื้น m-m ได้ re-stock รับฤดูหนาว, การท่องเที่ยวฟื้น และ supply ตึงตัวจากโรงกลั่นบางส่วนลด run หนุนต่อเนื่อง ฝั่งปิโตรเคมี ฟื้น w-w น้อย แม้ราคา feedstock ลดลง i) สายโอเลฟินส์ HDPE spread -2% w-w ความต้องการซื้อยังชะลอ ส่วน PP +3% w-w ได้ supply ที่ตึงตัวจากโรงผลิตบางแห่งปิดซ่อม ii) สายอะโรเมติกส์ PX spread -4% w-w demand downstream ชะลอ ในขณะที่ supply กลับมาจากปิดซ่อม ส่วน BZ spread +5% w-w ได้ความต้องการ re-stock ของจีน ส่วน iii) สายโพลีเอสเตอร์ (PET) integrated spread -2% w-w ราคาขายยังปรับลดตามราคา feedstock จากผู้ซื้อชะลอดูทิศทางเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้ง U.S. คงมุมมองแนวโน้ม พ.ย. 24 spread ปิโตรเคมี สายโอเลฟินส์มีแนวโน้มฟื้น m-m เด่นสุด ตามการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน ภาพสัปดาห์ โรงกลั่นยังมีปัจจัยบวกต่อเนื่องจากค่าการกลั่นฟื้นตัว ในขณะที่ราคาหุ้นยังไม่ตอบรับจากกำลังเข้าสู่ช่วงประกาศงบ 3Q24F ที่แนวโน้มขาดทุนหนัก คงมุมมองเป็นโอกาสกลับมาเก็งกำไรกลุ่มโรงกลั่น รับการฟื้นตัวใน4Q24F ที่ stock loss ลดลง และคาดค่าการกลั่นได้ winter season หนุน และมองเป็นกลุ่มที่แรงกดดันน้อยกว่ากลุ่มปิโตรเคมี หากคุณทรัมป์ชนะเลือกตั้ง.
4Q24F Equity Outlook : Thailand Inflection Point
Stock Best Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO
Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA