มีโอกาสปรับฐานต่อ
ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานเช้านี้ยังไม่มีเรื่องใหม่ที่มีน้ำหนัก กระแสยังไปที่การเมืองไทย-การเมืองโลก โดยในบ้านเราจุดสนใจอยู่ที่คำร้องให้ยุบพรรคเพื่อไทย+พรรคร่วม ซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลและอาจมีผลให้FUND FLOW ต่างชาติไหลออก ส่วนในต่างประเทศเป็นการลุ้นผลการเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐฯ (5 พ.ย.) ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่มีผลต่อทั้งทิศทางเศรษฐกิจโลก และ FUND FLOW ส่วนตัวเลขเศรษกิจ สหรัฐ-ยุโรป บ่งชี้โอกาสที่จะเกิด RECESSION ต่ำลง ทำให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยน่าจะเห็นการปรับลดแบบค่อยเป็นค่อยไป ในมุมของกลไกการซื้อขายใน SET เห็นได้ชัดว่า แรงซื้อจากนักลงทุนสถาบับในประเทศเบาบางลง ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิต่อ เมื่อผสมผสานกับการปรับตัวขึ้นของหุ้นที่กระจุกตัว ทำให้คาดว่า SET INDEX มีโอกาสปรับฐานต่อประเมินว่า SET INDEX ยังอยู่ในช่วงการปรับฐานต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่เชื่อว่าที่บริเวณ 1460 จุด น่าจะมีแรงหนุนจากวายุภักษ์ วันนี้คาดกรอบ1454 –1467 จุด หุ้น TOP PICK เลือก BDMS, PLANB และ WHA
คะแนนความนิยม TRUMP ขึ้นนำ ทำค่าเงินโลกผันผวน
ทั่วโลกต่างจับตามองการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 ในวันที่ 5 พ.ย. นี้ ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ ขณะที่ POLL สำรวจล่าสุดของ BLOOMBLERG เผย DONALDTRUMP (พรรค REPUBLICAN) มีคะแนนความนิยมแซงหน้า KAMALA HARRIS(พรรค DEMOCRAT) แล้ว นับตั้งแต่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมาเมื่อพิจารณานโยบายหลักๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูง หากพรรค REPUBLICAN ชนะ คือการปรับ COPERATE TAX ในสหรัฐฯลงจาก 21% เหลือ 15% ,การเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีน ซึ่งล่าสุดอาจตั้งกำแพงภาษีเพิ่มเป็น 150 – 200% ถ้าจีนบุกไต้หวัน และการกลับมาของ AMERICAN FIRST อาจเสี่ยงทำให้สงครามการค้าจีน-สหรัฐ (TRADEWAR) ปลุกความร้อนแรงขึ้นอีกครั้งขณะที่คะแนนความนิยมของ TRUMP ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น มาพร้อมกับ BOND YIELD10Y สหรัฐฯ ที่ขยับขึ้นตาม สะท้อนถึงความกังวลปัญหาเงินเฟ้ออาจกลับสู่กรอบเป้าหมายยากขึ้น และมีโอกาสทำให้ FED ปรับลดดอกเบี้ยช้ากว่าคาด
นอกจากนี้ยังมีโอกาสหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งนับตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค. 67DOLLAR INDEX ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วราว +3%MTD ล่าสุดยืนเหนือ 104 จุดแล้วกดดันค่าเงินโลกผันผวนในเชิงเปรียบเทียบ ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง –4%MTDมาอยู่ที่ 33.67 บาท/เหรียญฯ ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ FUND FLOW ชะลอไหลเข้าบ้านเราในช่วงสั้นๆ
อย่างไรก็ตามในเชิงกลยุทธ์หุ้นไทย ยังมีอยู่ 4 กลุ่มหุ้นเด่นที่น่าจะได้รับ SENTIMENTเชิงบวก และราคาหุ้นน่าจะ OUTPERFORM ตลาดฯได้ในช่วงนับจากนี้ อาทิ
• หุ้นนิคม : AMATA WHA PIN WHAUP
• หุ้นรับเหมา TECH : INSET AIT ICN
• หุ้นเดินเรือ : RSL PSL TTA
• หุ้นอิงราคา COMMODITY ในกลุ่ม FOSSIL : PTTEP BANPU
การเมืองไทย ยังคงกดดัน SET ต่อเนื่อง คาดมีความชัดเจน ต้นกลาง พ.ย.67
SET INDEX ถูกกดดันจากปัจจัยภายนอกอย่างการฟื้นตัวที่ช้าของเศรษฐกิจสหรัฐฯและยุโรป ส่วนปัจจัยในประเทศอย่างการเมืองไทย คงเป็นปัจจัยหลักในการกดดันนับจากนี้ เนื่องจากกว่าจะมีความชัดเจนน่าจะอยู่ในช่วง ต้น-กลาง พ.ย.67 โดยฝ่ายวิจัยฯของแบ่งคดีทางการเมืองออกเป็น 2 เส้นทาง ดังนี้
1.วันที่ 24 ก.ย.67 นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ได้ยื่น 6 คำร้องต่ออัยการสูงสุดให้วินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย เลิกทำการที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 แต่อัยการสูงสุดมิได้
ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องจึงทำให้10 ต.ค.67 นายธีรยุทธจึงได้ยื่นคำร้องเดิมต่อศาลรัฐธรรมนูญแทน ซึ่งล่าสุด 22 ต.ค.67 ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ ในชั้นนี้ให้มีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุดเพื่อขอทราบว่าได้ดำเนินการตามคำร้องของผู้ร้องไปแล้วอย่างไร และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด โดยให้จัดส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ ซึ่งฝ่ายวิจัยฯประเมินว่าในช่วงต้น พ.ย.67
2. ผู้ร้องหลายราย รวมถึงนายธีรยุทธ สุวรรณเกษรได้ยื่น 6 คำร้องยุบพรรคเพื่อไทยพรรคร่วมไปที่ กกต.ซึ่งล่าสุด กกต. ได้พิจารณาเห็นว่าคำร้องมีมูล ได้ให้สั่งให้ตั้งกรรมการสอบยุบเพื่อไทยแล้ว (18 ต.ค.67) โดยมีกรอบระยะเวลาให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แต่สามารถขอขยายได้อีกครั้งละไม่เกิน 30 วัน จนกว่าจะแล้วเสร็จซึ่งต้องจับตาว่า กกต.จะมีผลการพิจารณาอย่างไร โดยหากเห็นว่า “ควรยุบพรรค”กกต.จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยในลำดับต่อไป คาดจะเห็นความคืบหน้าของคดีดังกล่าวในช่วงกลาง พ.ย.67
สรุป ปัจจัยภายนอกที่กดดัน และการเมืองไทยยังมีความร้อนแรง กดดันให้ SET
INDEX มีโอกาสทยอยลดความร้อนแรงในขาขึ้น โดยฝ่ายวิจัยฯประเมินว่าในช่วงต้นกลางเดือน พ.ย.67 น่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวSET ไม่ HEALTHY ขึ้นแค่บางกลุ่ม แรงซื้อสถาบันฯถดถอยลงในเดือน ต.ค. นี้ SET INDEX ปรับตัวขึ้นมา 0.82% หรือ 11.8 จุด แต่การขยับขึ้นไม่ค่อย HEALTHY เนื่องจากเป็นการขยับขึ้นแค่บางกลุ่มหุ้นเท่านั้น โดยเฉพาะ 5 หุ้นเทคฯ ไทย ที่บวกแรง อย่าง DELTA +26.2%, GULF 16.7%, ADVANC 5.8%,INTUCH 14.6%, TRUE 5.4% และทั้ง 5 บริษัท ผลักดัน SET INDEX ให้ขยับขึ้นไปถึง+46 จุด ได้แก่ DELTA +28.2 จุด, GULF +9.0 จุด, ADVANC +3.6 จุด, INTUCH+3.5จุด, TRUE +1.7จุด
ส่วนแรงผลักดัน SET INDEX จากสถาบันฯ หรือกองทุนวายุภักษ์ เริ่มเห็นสัญญาณแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จาก 2 ส่วนดังนี้
1. แรงซื้อสถาบันฯที่เข้ามาในเดือนนี้เคยสูงถึง 8 พันกว่าล้านบาทต่อวัน ลดน้อยลงเรื่อย จนล่าสุด 24 ต.ค. เหลือแรงซื้อเพียง 3.9 พันล้านบาท น้อยกว่า
ค่าเฉลี่ยในปีนี้ที่ 4.4 พันล้านบาทต่อวัน แม่จะมีเม็ดเงินวายุภักษ์คอยหนุน
2. พอแรงซื้อสถาบันฯ ลดลง ก็เริ่มเห็นการสลับมาขายสุทธิ หลังจากเดือนนี้สถาบันฯ ซื้อสุทธิมา 14 วันทำการติดต่อกัน เริ่มขายสุทธิมาแล้ว 2 วันทำ
การ 23 ต.ค. ขายสุทธิ -690 ล้านบาท และ 24 ต.ค. ขายสุทธิสูงขึ้นเป็น -1.67พันล้านบาท
สรุป SET INDEX ยังดูไม่ค่อย HEALTHY ขึ้นแค่บางกลุ่ม พร้อมกับแรงซื้อสถาบันฯที่ถดถอยลง อย่างไรก็ดี ดัชนีที่ย่อตัวลงมาใกล้ๆ ต้นทุนกองทุนวายุภักษ์ที่คิดกลับมา1460 จุด ทำให้เชื่อว่าการย่อตัวของดัชนีน่าจะไม่รุนแรงเหมือนช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์